Friday, November 15, 2013

สองคนเพื่อนตายลุยยุโรป-> London, UK

ทริปของเราสองคนเพื่อนซี่ยังไม่จบค่ะ ประเทศสุดท้ายที่เราสองคนจะไปก่อนส่งเพื่อนสาวกลับไทยนั้นก็คืออังกฤษนั้นเองคะ สำหรับตัวเองไม่ได้คิดว่าจะมาอังกฤษหละคะ แต่เพื่อนนี่หลงไหลและใฝ่ฝันจะมาอังกฤษม๊าก มาก ก็เลยต้องสะนอง need กันนิสนึง แต่กว่าจะได้ออกเดินทางมาอังกฤษได้ก็เจอบทพิสูจน์ความพยายามไปซะเยอะเลยคะ จากที่วางแผนว่าจะนั่งเครื่อง เราก็ต้องไปเปลี่ยนนั่งรถไฟ EuroStar แทนเพราะว่าเหตุการณ์และอุปสรรค์ต่างๆที่เล่าไว้ในตอนต้น 

เรากลับจากอิตาลี่วันที่ 4 คะ ถึงปารีสก็ค่ำๆแล้ว เรามีเวลาpack กระเป๋าแค่คืนนี้เท่านั้นคะ เพราะเช้าวันที่ 5 เราก็ต้องไป ลอนดอนกันแล้วคะ รถไฟเราออก 9:10 นาทีคะ ด้วยความที่ไม่เคยนั่งรถไฟไปประเทศที่ไม่ใช่เชงเกนก็เลยใจเย็น ออกหอตอนเจ็ดโมงกว่าๆ แล้วรถไฟ RER ขบวนที่เข้าปารีส ที่จะวิ่งไป Gare du Nord กลับไปไม่ถึงคะ เราต้องไปเปลี่ยนรถ Metro สายอื่นที่วิ่งไป Gare du Nord แทน กว่าจะหาได้ว่าสายไหนไปถึงเร็วสุด ก็แทบแย่คิดไม่ทัน เพราะเวลาจวนเจียน แถมต้องวิ่งลากกระเป๋าใบใหญ่ ของเพื่อนวิ่งขึ้นลงบันไดเมโทรแทบแย่ค่ะ ตอนนี้อีกไม่กี่นาทีก็จะ 9 โมงแล้วคะ วิ่งไปแทบตายกว่าจะถึง platform ที่ขึ้นรถไฟ เราไปถึงประมาณ 9โมงพอดิบพอดี แต่ก็ไม่ทันค่ะ หมดเวลา check-in แล้วไปไม่ทันเที่ยว 9:10 หืออทำไงดี ตกรถเหรอ!!!  

เราก็ไปพูดกับเจ้าหน้าที่ๆ checkin ว่าเพราะรถ RER มัน delay เราต้องไปเปลี่ยนเมโทรเลยมาไม่ทัน ช่วยด้วยนะคะ Please please please กันอยู่สองคน เจ้าหน้าที่ก็เลยบอกว่า โอเคไม่เป็นไรแล้วเค้าก็เขียนอะไรบนตั๋วเราซักอย่าง แล้วบอกว่าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ข้างในนะให้ออกตั๋วให้ใหม่ เราก็มารอคิวที่counter ข้างในคะ ยื่นตั๋วที่เจ้าหน้าที่คนเมื่อกี้เขียนให้ แล้วเค้าก็บอกว่าปกติแล้วเราจะคิดค่าบริการนะ แต่เราออกให้ฟรีนะ สำหรับตั๋วใหม่เที่ยว 10:10 โอ้ยยยโล่งไปคะนึกว่าจะเสียเงินฟรีซะแล้ว ก็ตั๋ว eurostar นี่ราคาเกือบร้อยยูโรเลยทีเดียว ก็ยังดีที่ไม่ต้องซื้อใหม่

อ้อส่วนสาเหตุที่เราไม่สามารถขึ้นเราได้เแล้วเพราะจริงๆ เราต้องไปล่วงหน้าก่อนเวลารถออกประมาณ ครึ่งช่วงโมงคะ เพราะไปอังกฤษต้องผ่าน ตม. เค้าจะซักถามว่าเราจะไปทำอะไรที่อังกฤษ พักที่ไหน ไปกี่วัน แล้วก็ตรวจกระเป๋า อีกคะ ไม่ได้เหมือนการนั่งรถไฟไปเมืองหรือประเทศอื่นๆใน Schengen ที่ไปก่อนหน้าไม่กี่นาทีได้เพราะไม่ต้องตรวจอะไร เอาละคะยังไม่ออกเดินทางก็ตื่นเต้นซะละ เหอๆ เค้าถึงเรียกว่าประสบการณ์ไงคะ ไม่เคยไปมาก่อนก็เลยไม่มีประสบการณ์ 


นั่งรถไฟมาสองชั่วโมงที่รอดอุโมงใต้ทะเล เราก็มาถึงสถานี King Cross แล้วละคะ (สถานีที่แฮรรี่นั่งไป Hogwart ไงค่ะ อิๆ) จากที่นั่นเราต้องนั่งรถไฟต่อไปสถานี Paddington เพราะเราจะอยู่ที่นั้นกันสามคืนคะ 
ที่พักใน London ค่อนข้างแพงคะ ถ้าอยู่ในตัวเมืองก็จะราคาแพงมาก ที่ถูกๆหน่อยก็จะอยู่นอกเมือง เพราะฉะนั้น Hostel ก็เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเราคะ แม้ว่าจะอยู่ Hostel ก็ตามราคาก็ยังแพงกว่า Hostel ที่อิตาลี่อยู่ดี แต่เรา Save ค่าอาหารเช้าได้คะ เพราะเค้ามีบริการ แต่ก็เป็นแค่ขนมปัง นม ซี่เรียล  และ โยเกิร์ต

การเดินทางในลอนดอนก็ใช้ได้ทั้งรถเมล์ และรถไฟคะ เรายืมบัตรโดยสารแบบเติมเงินจากเพื่อนมาเรียกว่า Oyster อ่านในหนังสือเค้าบอกว่าถ้าอยู่เกิน 5 วันให้ซื่อแบบเหมาเป็นอาทิตย์ไปเลยคะ ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะอย่างนั้น พอไปกดหน้าตู้จะเติมเงินเป็นอาทิตย์ ก็ตกกะใจกับราคาคะ 30 กว่าปอน์ดเลยที่เดียว ก็เลยเติมเงินแบบธรรมดาเอาคะ กะว่าน่าจะพอๆกัน   ภาระกิจวันนี้เราจะไปถ่ายภาพช่วง twilight ที่ London eye และ Big Ben คะ แต่แวะกินอาหารญี่ปุ่นร้านที่ใน Guidebook ของเพื่อนแนะนำไว้ 

ออกจากที่พักเราก็นั่งรถเมล์สองชั้นเพื่อชมวิวรอบเมืองเล่นกันคะ
ย่านที่เราอยู่มีรถเมล์หลายสายวิ่งผ่าน ซึงส่วนใหญ่ก็จะผ่านจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ ด้วย รูปข้างบนเป็นย่านที่เราพักคะ
 ขึ้นรถเมล์ปุ๊บเราก็ขึ้นไปนั่งบนชั้นสองหน้าสุดเลยคะ

รถเมล์ที่นี่คนไม่แน่นเลยค่ะ สะบายๆ

ผ่านย่านการค่าอย่าง Oxford Street คนเยอะจริงๆ รูปนี้ถ่ายจากบนรถเมล์นะ

เราแวะลงแถว Soho คะ อารมณ์ China town อ่ะคะ เพื่อไปหาอะไรกินก่อน ใน Guidebook เค้าแนะนำร้านอาหารญี่ปุ่นราคาไม่แพงมาคะ เข้าไปในเราพนักงานส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทยคะ เหมือนอยู่เมืองไทยเลยแฮะ อิ่มแล้วเราก็เดินเล่นถ่ายรูป ทั้งรถเมล์สีแดง ตู้โทรศัทพ์สีแดง แล้วก็รถแท๊กซี่ทรงน่ารักๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของ ลอนดอนกันคะ



ไป Big Ben กับ London Eye ไปได้ทั้งรถเมล์ จำสายไม่ได้แล้วอ่ะคะ หรือไม่ก็นั้งรถไฟใต้ดิน(Tube)ไปออกที่สถานีนี้เลยคะ Westminster
ออกจากสถานีมาก็เจอเลยค่ะ Big Ben








ตอนนี้ยังมีแสงอยู่คะ ยังไม่ Twilight เท่าไหร
หันมาอีกด้านของแม่น้ำ ก็เป็น London Eye ค่ะ


เดินไปเรื่อยๆ จนฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้วค้าา เราเดินข้ามสะพานมาฝั่งเดียวกับ London Eye
รอจนเค้าเริ่มเปิดไฟ



ถ่ายไปเรื่อยๆ จนเริ่มมืดแล้วค่ะ รู้ตัวอีกทีก็หนาวจนจะไม่ไหวแล้ว

กลับไปพักหาอะไรอุ่นๆกิน แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยลุยกันใหม่จ้าา

Friday, November 1, 2013

สองคนเพื่อนตายลุยยุโรป-> Rome, Italy

มาต่อกันที่โรมคะ นั่งรถไฟจากปิซ่ามา เรามาถึงโรมก็เกือบๆสี่ทุ่มได้ จากสถานีรถไฟไปที่พักก็ประมาณ 500-600 เมตรคะ มืดแล้วก็ต้องเดินกันแบบระวัง+ระแวงหน่อย มองซ้ายมองขวา เราก็เดินมาถึงที่พัก ที่นี่เราพักที่ Four season hostel ถือว่าบริการดีเลยนะ ห้องพักก็ดูดี เราอยู่แบบ Female dorm 6 คนคะ อยู่ Hostel ก็ดีตรงที่ได้เพื่อนใหม่ พูดคุยกับเพื่อนร่วมห้องคะ


สำหรับคนที่ไม่เคยอยู่ Hostel บอกไว้นิดนึ่งว่าต้องเตีรยม กุญแจ กับรองเท้าแตะมานะ เค้าจะมี locker ให้ใช้แต่ไม่มีกุญแจให้ ขาประจำ hostel เค้ารู้กันดี ส่วนรองเท้าแตะก็เอาไว้ใส่เวลาเข้าห้องน้ำ ในกรณีที่เป็นห้องน้ำรวมแต่อยู่นอกห้องพัก แต่ที่เราพักคืนนี้มีห้องน้ำในตัว มือใหม่ที่ไม่ได้เตรียมสองอย่างที่ว่ามาก็รอดตัวไป เราใช้กระเป๋าเดินทางแทน locker เก็บข้าวของเสร็จก็รีบไปอาบน้ำนอนคะพรุ่งนี้ไปลุยโรมกัน 
Hostel ก็ลำบากนิสนึงเพราะเสียงดังไม่ได้เพราะฉนั้นต้องรีบชิงทำอะไรที่จะเสียงดังก่อนที่ทุกคนจะนอน ไม่งั้นแอบเกรงใจ เพื่อนร่วมห้อง สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องหลับยาก แนะนำเอาจุกอุดหูติดไปด้วย จะได้ไม่ต้องตื่นมากลางดึกเพราะเพื่อนร่วมห้องกรน 

เราตื่นแต่เช้ารีบออกไปเที่ยวกัน สิ่งแรกที่อยากไปคือวาติกัน กะว่าคงใช้เวลาที่นั้นเกือบทั้งวัน ก็เลยไม่ได้แพลนอะไรมาก การเดินทางในโรม จะเป็นรถเมล์ซะส่วนใหญ่คะเพราะ เมโทรมีไม่กี่สาย เหมือนในเบลเยี่ยมเลย ไม่ได้โยงใยเยอะแยะแบบในปารีส มาถึงวาติกันก็เหมือนที่ในรีวิวหลายๆ อันพูดถึงว่าแถวเข้ายาวมากกกกก แล้วก็จะมีพวกที่มาชวนให้ซื้อทัวร์ แล้วบอกว่าเข้าอีกทางเร็วกว่า แต่เรากะแค่จะเข้าไปที่โบสถ์คะไม่เข้าพิพิทภัณฑ์ เพราะว่าค่าเข้าก็แพงมิช่ายน้อยแล้วต้องจองล่วงหน้าผ่านเน็ทด้วย ดูรีวิวว่าเค้าบอกว่าโบสถ์ก็เปิดให้เข้าตั้งแต่เช้า แต่พอเรามาถึงก็มีรั่วกั้น แล้วก็มีแถวคนยืนรอยาวทีเดียว ก็ไปถามคนที่ยืนรอว่าแถวอะไรกัน ได้ความว่าเค้าต่อแถวเข้าโบสถ์กันคะ ซึ่งโบสถ์จะเปิดให้เข้าเกือบๆเที่ยง OMG ตอนนั้นพึ่งแปดโมงกว่าๆ เอาไงดี ก็ยืนรอได้ซักพักฝนก็ตกลงมา ลมแรงมาก เพื่อนก็หนาวเริ่มจะไม่ไหว เลยตัดใจไว้เดี๋ยวค่อยมาใหม่ 






ปรับแผนกระทันหันก็เลยไปแวะจุดที่อยากไปดูก็แล้วกันคะ เรานั่งเมโทรต่อออกมาเพื่อไปดูบันไดสเปน ระหว่างทางฝนตกลมแรงมากเลยต้องแวะเข้าร้านหาอะไรกินดีกว่า ทริปนี้อากาศไม่เป็นใจเลยคะ เจอฝนตลอด กินอะไรเสร็จแล้ว เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยนะคะ ยุโรปเป็นอะไรที่หาห้องน้ำได้ยากมากกก  เรารอจนฝนซาแล้วเดินต่อไปที่บันไดสเปนคะ 

อากาศไม่ดีเลยถ่ายรูปไม่ได้ ไม่สวยเหมือนที่จินตนาการไว้เลย

ย้ายที่มาต่อกันที่น้ำพุ  Fontana di Trevi


อีกซักรูปน่ะ ถ่ายมาเยอะมาก กว่าจะเปียดคนเข้าไปถ่ายได้


แล้วก็ Colosseum เป็นอะไรที่หนาวมาก ทั้งฝนละลม เปียกไปหมด ค่าเข้าคนละ 12 ยูโร 

Colosseum ก็เปิดให้เดินได้แค่บางส่วนเท่านั้นเอง ไม่ได้เหมือนในเรื่อง Jumper ที่โดดไปโดดมาตั้งหลายมุม เหอๆ 

ดูจนครบแล้วก็ขอกลับไปที่พัก พักเอาแรงก่อนคะ ตอนนี้รองเท้าชุ่มไปด้วยน้ำ

แวะร้านขนมใกล้ๆที่พักซักหน่อย อิๆ 

พักกันหายเหนื่อยแล้วก็เกือบๆห้าโมงเย็นในใจก็อยากจะกลับไปวาติกันอีกรอบ แต่เพื่อนก็ไม่ไหว จะไปคนเดียวก็ไม่ดี ก็เลย ตัดใจรอบสองไว้ไปวันพรุ่งนี้แล้วกันคะ 
ไปร้านอาหารจีน หาข้าวกินดีกว่ากินแต่พิซซ่ามาหลายวัน ไม่มีเม็ดข้าวตกถึงท้องเลยจะลงแดง ห้าๆ 

ด้วยความที่อยากได้ภาพ night shot บ้างเลยชวนเพื่อนไปน้ำพุอีกรอบแต่กว่าจะได้ไปแอบมีงอแงกันเล็กน้อย เหอๆ 


 นี่คือสะภาพที่แท้จริงคนเยอะมาก

 คู่รักพากันจูบแล้วก็ถ่ายรูป เราก็ได้แต่นั่งมอง

กลับมาที่พักก็รีบแพ็คของคะพรุ่งนี้วันสุดท้ายแล้ว หวังว่าจะได้เข้าวาติกันน่ะ

แดดยามเช้าตอนรับเราที่วาติกันค่ะ วันนี้อากาศดีกว่าหลายๆวันที่ผ่านมา พอมาถึงโอ้วววเค้ามีงานอะไรกันเนี่ย ปรากฏว่าวันนั้น Pope เสด็จออกมาทำพิธีอะไรกันไม่รู้ค่ะ ข้างในโบสถ์เราก็เข้าไม่ได้ตามเคย ก็ยืนเซรงไป แต่ก็ยังดีที่ได้เห็น Pope โดยบังเอิญค่ะ คนแน่นน่าตื่นเต้นดี




แล้วเราก็ออกจาวาติกันด้วยความผิดหวังคะมาสองวันไม่ได้เข้าทั้งสองวันสงสัยจะไม่มีบุญ

ไป Pantheon ดีกว่า


ทหารคนที่ถ่ายรูปกับเด็กโดนดุเลยคะ เพราะว่าเล่นมากไป act มากไปหน่อย เค้าให้ยื่นนิ่งๆพี่

นี่หละคะน้ำพุที่ตามหาในฉาก เรื่อง Angel and Demon ที่นักบวชโดนถ่วงน้ำแล้วพระเอกไปช่วยขึ้นมาได้
ตามหาทั้งวันในที่สุดก็เจอโดยบังเอิญ




ที่ Piazza Nanova เป็นที่สุดท้ายที่เรามาเยี่ยมชมค่ะ ก่อนจะต้องกลับไปเอากระเป๋าที่โรงแรม เพื่อไปสนามบิน จากโรมไปสนามบินสามารถไปได้ทั้งรถบัสและรถไฟคะ เราเลือกนั่งรถบัส คนละ 12 ยูโรซึ่งจะจอดอยู่แถวๆสถานีรถไฟคะ มีให้เลือกหลายบริษัทเลยคะ

เครื่องบินขากลับจากโรมบินผ่าน สวิสคะ ลากันด้วย เทือกเขา Alps ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

Thursday, October 24, 2013

สองคนเพื่อนตายลุยยุโรป-> Florence, Pisa, Italy

เย็นวันนั้นเราก็ต้องจากเวนิสด้วยความเสียดายเพื่อนั่งรถไฟเที่ยว 19:25 ไป Florence หรือ สถานี Firenze S.M. Novella คะคราวนี้จำเวลาไม่ผิดเพราะดูแล้วดูอีกให้เพื่อนช่วยดูด้วย เดี๋ยวตกรถอีก ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงนิดๆคะ 

เรามาถึงก็ค่ำแล้วสามทุ่มกว่าๆ อย่างที่บอกว่ากลยุธในการเดินทางของเราคือหาที่พักที่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมาก เดินไปได้ไม่ยาก จากสถานีรถไฟเราก็เดินตามหาที่พักคะซึงแซกตัวอยู่ในตึกแถว หลงนิดหน่อยแต่ก็มาถึงได้ไม่ยากคะ เราจองห้องแบบ private room สำหรับสองคนไว้ เหมือนจะจำได้ว่าเลือกแบบมีห้องน้ำในตัวด้วย แต่พอเอา booking ให้ reception พอเค้าพาไปดูห้องเปิดเข้าไปอึ่งเลย อันนี้มัน mixed ทั้งช่ายหญิง 6 คนนิ แถมมีการบอกว่าอ๊ะสองเตียงนี้ของยู เออออไม่ได้นะจ่ายเงินสำหรับ private แล้วให้นอนแบบนี้ได้ไง ก็เริ่มโวยวายว่าจองมาเป็น private นะ เนี่ยๆเขียนอยู่ใน booking จ่ายเงินแล้วด้วย พนักงานที่พูดภาษาอังกฤษแบบ รอเรือ เยอะๆก็บอกว่า Ok ok no prroblrem no problem แล้วเค้าก็ไปยกหูโทรศัพท์คุยกะใครไม่รู้ซักพักก็พาเราเดินไป(ตอนเดินไปก็แอบกลัวเล็กๆจะพาไปไหนเนี่ย)โรงแรมข้างๆไม่ไกลกันนัก  แล้วก็พาไปดูห้อง ค่อยยังชั่วเป็นห้องแบบสองคนแต่ว่าห้องน้ำรวม ก็ยังดีกว่ามะกี้ แบบนั้นไม่เอานะน้ำตาจะไหล เจอเรื่องตื่นเต้นได้ทุกที่จริงๆ 

แพลนเที่ยวที่นี่ก็ไม่มีอะไรมากคะ เราจะเดินเล่นในเมือง ไปเยี่ยมสะพานที่มีร้านทอง แล้วก็ขึ้นไปจุดชมวิว Piazzale Michelangelo แล้วตอนบ่ายเราจะไปเมืองปิซ่ากันคะ เราเก็บกระเป๋าแล้วฝากไว้ที่โรงแรมก่อน ขากลับค่อยแวะมาเอา เราก็ออกเดินเล่นหาอะไรกินคะ แวะshopping ด้วยเครื่องหนังที่นี่ราคาไม่แพงมาก
จุดแรกที่ออกจากที่พักก็เจอเลยคะ Basilica of Santa Maria Novella

เดินมาเรื่อยๆก็เจอโบสถ์ใหญ่กลางเมือง ซึ่งแถวที่รอเข้าไปดูยาวใช้ได้เลย ทั้งๆที่ยังเช้าอยู่ แต่เราต้องทำเวลาคะเลยไม่ได้เข้าตามเคย







อีกมุมแล้วกันคะสูงใช้ได้เลยทีเดียว ที่นี้ร้านเครื่องหนังเยอะคะ ทั้งกระเป๋า ถุงมือหนังมีให้เลือกเยอะเลย ราคาก็ไม่ได้แพงมากถ้าเทียบกับคุณภาพคะ บ้านเมืองที่นี่โทนสีเดียวกันหมดเลย ต่างจากเวนิสที่มีหลายสีกว่า














งานศิลปะที่ไม่ได้อยู่ใน พิพิทภัณท์ เนี่ยมันน่าดูกว่ากันเยอะเลย น้ำพุ Fountain of Neptune สร้างในปี 1563–1565







ข้างๆกันก็มีรูปปั่นเยอะไปหมด อย่างอันนี้ The Rape of Polyxena

เดินตามแผนที่ๆเก็บมาจากโรงแรมเรื่อยๆ ก็เกือบจะครบจุดสำคัญๆแล้วคะ แวะหามื้อเที่ยงกินกันก่อน ดีกว่า สอง สามวันที่ผ่านมาเรากินแต่พิซซ่า สปาเก๊ตตี้ วันนี้ก็เหมือนกันเอาให้เบื่อกันไปเลย

เต็มพลังแล้วก็เตรียมตัวเดินขึ้นเขาคะเพื่อไปจุดชมวิว บน Piazzale Michelangel






วิวข้างทางค่ะ 

วิวด้านบนค้าาา 

อีกซักรูปนะ 

ลงมาด้านล่างแล้วคะ เพราะต้องรีบเดินกลับไปเอากระเป๋า แล้วก็ไปขึ้นรถไฟไป ปิซ่ากัน หอเอน.....


จาก Florence ไป Pisa เราไม่ได้จองตั๋วไว้ล่วงหน้าคะ เพราะไปซื้อหน้าตู้ราคาไม่ต่างกันคะ เช็คเวลามาแล้วเราออกจาก Florence เวลาบ่ายสองกว่าๆ ถึง Pisa ก็บ่ายสามกว่าๆ จากสถานีรถไฟเราต้องนั่งบัสต่อซื้อตั๋วรถบัสได้ที่สถานีรถไฟเลยคะ (จากสถานีรถไฟ ไปหอเอนนั้นไกลมิช่ายน้อยคะ แล้วขาก็ลากไม่ไหวแล้วนั่งบัสดีกว่าคะ ต้องทำเวลา)

มาถึงแล้วมันก็ อึ่งจริงๆ น้ำตาจะไหล หอเอนปิซ่าาาาาาาาา ไม่อยากจะเชื่อ



มาตามลอยแล้วนะคะ หนีตามกาลิเลโอ อิๆ






























ทุกคนพยายามโพสต์ท่ายอดฮิต ซึ่งเราสองคนก็พยายามจนหมดแรง ไปหาไอติมกินดีก่า


ภาพสุดท้ายก่อนลาปิซ่า เราต้องขึ้นรถไฟไปโรมตอนหนึ่งทุ่ม

ตามตารางรถบัส น่าจะมาได้แล้ว ห้าโมงกว่าจะหกโมงแล้ว เราสองคนก็ใจไม่ดีถ้ารถเมล์ไม่มาจะทำยังไง ไม่เอานะ ไม่อยากตกรถอีกแล้ว เราเดินไปดูป้ายรถเมล์ทั้งสองอันที่อยู่ใกล้ๆกัน ก็ถึงเวลาที่รถต้องมาแล้ว แต่ยังไม่มาซักที คนก็ยืนรอเยอะแยะ รถเมล์น่าจะมาอยู่นะ รอซักพักเราก็เริ่มใจร้อน กลัวไปไม่ทัน หันมองหน้ากัน แท๊กซี่มะ? ขณะที่จะข้ามถนนไปเรียกแท๊กซี่รถเมล์ก็เลี้ยวมาพอดีๆใจสุดๆ

มาถึงสถานีก็ไปเอากระเป๋า มีเวลาซื้อ french fired Mc Donal ไปกินบนรถไฟชิวๆด้วย และที่หมายสุดท้ายของเราคะ ROME