Thursday, October 24, 2013

สองคนเพื่อนตายลุยยุโรป-> Florence, Pisa, Italy

เย็นวันนั้นเราก็ต้องจากเวนิสด้วยความเสียดายเพื่อนั่งรถไฟเที่ยว 19:25 ไป Florence หรือ สถานี Firenze S.M. Novella คะคราวนี้จำเวลาไม่ผิดเพราะดูแล้วดูอีกให้เพื่อนช่วยดูด้วย เดี๋ยวตกรถอีก ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงนิดๆคะ 

เรามาถึงก็ค่ำแล้วสามทุ่มกว่าๆ อย่างที่บอกว่ากลยุธในการเดินทางของเราคือหาที่พักที่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมาก เดินไปได้ไม่ยาก จากสถานีรถไฟเราก็เดินตามหาที่พักคะซึงแซกตัวอยู่ในตึกแถว หลงนิดหน่อยแต่ก็มาถึงได้ไม่ยากคะ เราจองห้องแบบ private room สำหรับสองคนไว้ เหมือนจะจำได้ว่าเลือกแบบมีห้องน้ำในตัวด้วย แต่พอเอา booking ให้ reception พอเค้าพาไปดูห้องเปิดเข้าไปอึ่งเลย อันนี้มัน mixed ทั้งช่ายหญิง 6 คนนิ แถมมีการบอกว่าอ๊ะสองเตียงนี้ของยู เออออไม่ได้นะจ่ายเงินสำหรับ private แล้วให้นอนแบบนี้ได้ไง ก็เริ่มโวยวายว่าจองมาเป็น private นะ เนี่ยๆเขียนอยู่ใน booking จ่ายเงินแล้วด้วย พนักงานที่พูดภาษาอังกฤษแบบ รอเรือ เยอะๆก็บอกว่า Ok ok no prroblrem no problem แล้วเค้าก็ไปยกหูโทรศัพท์คุยกะใครไม่รู้ซักพักก็พาเราเดินไป(ตอนเดินไปก็แอบกลัวเล็กๆจะพาไปไหนเนี่ย)โรงแรมข้างๆไม่ไกลกันนัก  แล้วก็พาไปดูห้อง ค่อยยังชั่วเป็นห้องแบบสองคนแต่ว่าห้องน้ำรวม ก็ยังดีกว่ามะกี้ แบบนั้นไม่เอานะน้ำตาจะไหล เจอเรื่องตื่นเต้นได้ทุกที่จริงๆ 

แพลนเที่ยวที่นี่ก็ไม่มีอะไรมากคะ เราจะเดินเล่นในเมือง ไปเยี่ยมสะพานที่มีร้านทอง แล้วก็ขึ้นไปจุดชมวิว Piazzale Michelangelo แล้วตอนบ่ายเราจะไปเมืองปิซ่ากันคะ เราเก็บกระเป๋าแล้วฝากไว้ที่โรงแรมก่อน ขากลับค่อยแวะมาเอา เราก็ออกเดินเล่นหาอะไรกินคะ แวะshopping ด้วยเครื่องหนังที่นี่ราคาไม่แพงมาก
จุดแรกที่ออกจากที่พักก็เจอเลยคะ Basilica of Santa Maria Novella

เดินมาเรื่อยๆก็เจอโบสถ์ใหญ่กลางเมือง ซึ่งแถวที่รอเข้าไปดูยาวใช้ได้เลย ทั้งๆที่ยังเช้าอยู่ แต่เราต้องทำเวลาคะเลยไม่ได้เข้าตามเคย







อีกมุมแล้วกันคะสูงใช้ได้เลยทีเดียว ที่นี้ร้านเครื่องหนังเยอะคะ ทั้งกระเป๋า ถุงมือหนังมีให้เลือกเยอะเลย ราคาก็ไม่ได้แพงมากถ้าเทียบกับคุณภาพคะ บ้านเมืองที่นี่โทนสีเดียวกันหมดเลย ต่างจากเวนิสที่มีหลายสีกว่า














งานศิลปะที่ไม่ได้อยู่ใน พิพิทภัณท์ เนี่ยมันน่าดูกว่ากันเยอะเลย น้ำพุ Fountain of Neptune สร้างในปี 1563–1565







ข้างๆกันก็มีรูปปั่นเยอะไปหมด อย่างอันนี้ The Rape of Polyxena

เดินตามแผนที่ๆเก็บมาจากโรงแรมเรื่อยๆ ก็เกือบจะครบจุดสำคัญๆแล้วคะ แวะหามื้อเที่ยงกินกันก่อน ดีกว่า สอง สามวันที่ผ่านมาเรากินแต่พิซซ่า สปาเก๊ตตี้ วันนี้ก็เหมือนกันเอาให้เบื่อกันไปเลย

เต็มพลังแล้วก็เตรียมตัวเดินขึ้นเขาคะเพื่อไปจุดชมวิว บน Piazzale Michelangel






วิวข้างทางค่ะ 

วิวด้านบนค้าาา 

อีกซักรูปนะ 

ลงมาด้านล่างแล้วคะ เพราะต้องรีบเดินกลับไปเอากระเป๋า แล้วก็ไปขึ้นรถไฟไป ปิซ่ากัน หอเอน.....


จาก Florence ไป Pisa เราไม่ได้จองตั๋วไว้ล่วงหน้าคะ เพราะไปซื้อหน้าตู้ราคาไม่ต่างกันคะ เช็คเวลามาแล้วเราออกจาก Florence เวลาบ่ายสองกว่าๆ ถึง Pisa ก็บ่ายสามกว่าๆ จากสถานีรถไฟเราต้องนั่งบัสต่อซื้อตั๋วรถบัสได้ที่สถานีรถไฟเลยคะ (จากสถานีรถไฟ ไปหอเอนนั้นไกลมิช่ายน้อยคะ แล้วขาก็ลากไม่ไหวแล้วนั่งบัสดีกว่าคะ ต้องทำเวลา)

มาถึงแล้วมันก็ อึ่งจริงๆ น้ำตาจะไหล หอเอนปิซ่าาาาาาาาา ไม่อยากจะเชื่อ



มาตามลอยแล้วนะคะ หนีตามกาลิเลโอ อิๆ






























ทุกคนพยายามโพสต์ท่ายอดฮิต ซึ่งเราสองคนก็พยายามจนหมดแรง ไปหาไอติมกินดีก่า


ภาพสุดท้ายก่อนลาปิซ่า เราต้องขึ้นรถไฟไปโรมตอนหนึ่งทุ่ม

ตามตารางรถบัส น่าจะมาได้แล้ว ห้าโมงกว่าจะหกโมงแล้ว เราสองคนก็ใจไม่ดีถ้ารถเมล์ไม่มาจะทำยังไง ไม่เอานะ ไม่อยากตกรถอีกแล้ว เราเดินไปดูป้ายรถเมล์ทั้งสองอันที่อยู่ใกล้ๆกัน ก็ถึงเวลาที่รถต้องมาแล้ว แต่ยังไม่มาซักที คนก็ยืนรอเยอะแยะ รถเมล์น่าจะมาอยู่นะ รอซักพักเราก็เริ่มใจร้อน กลัวไปไม่ทัน หันมองหน้ากัน แท๊กซี่มะ? ขณะที่จะข้ามถนนไปเรียกแท๊กซี่รถเมล์ก็เลี้ยวมาพอดีๆใจสุดๆ

มาถึงสถานีก็ไปเอากระเป๋า มีเวลาซื้อ french fired Mc Donal ไปกินบนรถไฟชิวๆด้วย และที่หมายสุดท้ายของเราคะ ROME

Saturday, October 19, 2013

สองคนเพื่อนตายลุยยุโรป-> Milan, Venice Italy

ติดแง๊กที่สถานีรถไฟ
มาแล้วค่าา อิตาลี่ที่รอคอย ใฝ่ฝันมานานนักหนาว่าอยากจะไปเยือนประเทศนี้ ได้ฤกษ์ลุยกันซักที เมื่อมีโอกาสได้เพื่อนคนสนิทมาร่วมทาง เราก็เลยวางแผนซะเยอะเลย เรามีเวลาทั้งหมด 5 วันที่อิตาลี่ก็เลยวางแผนหลายเมืองคะ เริ่มจากลงเครืองที่ Milan แล้วนั่งรถไฟต่อไป Venice แล้วต่อด้วย Florence, Pisa และ 2 วันสุดท้าย ที่กรุงโรมก่อนที่จะบินกลับปารีสคะ การเดินทางระหว่างเมืองใน อิตาลี่เราใช้รถไฟทั้งหมดเหมือนเดิมคะ โดยจองตั๋วร่วงหน้าผ่านเว็บการรถไฟของอิตาลี่เลยคะ แอบงงชื่อเมืองเล็กๆเวลาจอง เคยเข้าไปดูถ้าเข้าไปจองล่วงหน้านานๆ อาจจะได้ถูกถึงประมาณ 9 ยูโรเลยนะคะ แต่ว่าถ้าใกล้วันเข้ามาราคาก็จะอัพขึ้นเรื่อยๆเป็น 19 จนถึง 29 ยูโรเลย เราก็เลยจองไปก่อนคะแต่ได้ที่ราคา 19 ยูโรมีบางเที่ยวที่ได้ถูกกว่านี้ แต่บางเที่ยวก็แพงกว่าขึ้นอยู่กับระยะทางด้วย ส่วนที่พักก็เริ่มขยับลงมาเป็น Hostel บ้างแล้วคะแต่ว่ายังจองเป็นแบบห้อง private ที่อยู่กันสองคน ส่วนที่โรมราคาค่อนข้างแพง จึงต้องจอง hostel แบบหอรวมผู้หญิง 6 คนคะ การเดินทางจากปารีสมาอิตาลี่เราก็นั่งเครื่องบิน Low cost EasyJet เจ้าเดิมคะ 

เมื่อเครื่องลงที่มิลานเราก็ต้องนั่งรถบัสจากสนามบินต่อเข้าไปในเมืองคะ โดยจะมีรถบัสจอดรออยู่ด้านหน้า จ่ายเงินกับคนขับ 10 ยูโรก็ขึ้นมาเลย มิลานต้อนรับเราด้วยสายฝนละฟ้ามืดครึ้ม ผิดกับที่จินตนาการไว้เลยว่าจะได้มาเห็นแสดงแดดที่อิตาลี่ เราถึงมิลานราวๆบ่ายสองคะ เพื่อรอรถไฟไปเวนิส รอบหนึ่งทุ่ม เรากะว่าแค่จะไปเที่ยวดูแค่ที่สำคัญๆไม่มิลานไม่กี่ที่ แล้วไปนอนค้างที่เวนิสเพื่อรอเที่ยวเวนิสในวันถัดไป รถบัสมาส่งเราที่สถานีรถไฟหลักของมิลานคะ แต่ด้วยฝนที่ตกหนักเราเลยติดแง็กอยู่ที่สถานีรถไฟ พอฝนเริ่มซาเราตักสินใจไปชมโบสถ์ Duomo ที่เป็นไฮไลท์ของเมืองนี้ รวมทั้ง Galleria Vittorio Emanueleด้วยคะ รถนั่งรถไฟใต้ดินไปคะ โชคดีระหว่างทางมีคนเอเชียสองคน เอาตั๋วรถไฟแบบเหมาทั้งวันให้บอกว่าจะไปเมืองอื่น แล้วไม่ได้ใช้แล้ว เราก็เลยโชคดีไปคะ ไม่เสียตังค์ด้วยความที่คิดว่ารถไฟที่จองไว้เที่ยวหนึ่งทุ่ม เราก็ยังพอมีเวลาเที่ยวเล่นในเมืองอีกนิดหน่อย ท่ามกลางสภาพอากาศที่ฝนตกทั้งหนาวและเฉอะแฉะ เราก็เลยอยากได้รองเท้าใหม่ 




เดินกันจนเพลินห้าโมงกว่าแล้วเราก็เลยกลับมาที่สถานีรถไฟ เพื่อรอรถไฟไปเวนิส เราไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่รับฝากกระเป๋า เพื่อเช็คตั๋วรถไฟ....แล้วก็ต้องอึ่ง เมื่อเห็นเวลาตั๋วรถไฟที่จองไว้เป็น 17:35 เออออออ ซวยแล้วววจำเวลาผิดนึกว่า 19:35 ตกรถอีกแล้ววว..... เราไปติดต่อที่ counter ขายตั๋วคะว่าจะทำยังไงกับตั๋วรถที่ซื้อมาแล้วแต่ไปไม่ทัน ขึ้นรถได้เลยมั้ยหรือต้องทำอย่างไร ก็ได้ความว่าทำอะไรไม่ได้ค่ะ พลาดแล้วพลาดเลย ทำได้อย่างเดียวคือซื้อใหม่คะ ขอร้องยังไงๆก็ไม่ได้ เจ้าหน้าที่ทำได้ดีที่สุดคือหาตั๋วใหม่ให้เราที่ถูกที่สุดคะ แล้วรอบที่จะได้ไปคือสามทุ่มกว่าๆเลย ก็เลยแง่วๆ อยู่ที่สถานีรถไฟนานเลย เราก็ไปเดินหาชาญชลาแล้วก็นั่งรอรถไฟคะ แล้วก็ได้ขึ้นรถไฟจนได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วมาเค้าดูตั๋วเราแล้วก็บอกว่า ขบวนนี้ไม่ช่ายนะจ๊ะ ของยูเป็นรถไฟธรรมดา(ที่นั่งอยู่เป็นรถไฟความเร็วสูง) เดี๋ยวลงสถานีหน้านะ แล้วรอที่ชาญชลาเดิม เอิ่มมมให้มันได้อย่างนี้ซินะผิดอีกแล้ว ก็ลงมานั่งรอที่สถานีอะไรก็ไม่รู้คะ ดึกก็ดึก น่ากลัวด้วยหนาวก็หนาว

รถไฟไปเวนิส
หลังจากที่เจอประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีที่ brussels มา ถึงคราวอิตาลีเมืองที่ขึ้นชื่อว่าขโมยขโจรชุมยิ่งกว่ายุง ทำให้สองคนเพื่อนซี่ระวังตัวมากกกกกก เป็นพิเศษ มองซ้ายมองขวาตลอดเวลา สะกิดกันตลอดเวลาเห็นอะไรที่ไม่น่าไว้ใจ ออกแนวจิตเล็กๆนะทริปนี้  รอรถไปก็ระแวงระวังไป จนรถไฟขบวนที่เราต้องขึ้นจริงๆมาถึงคะ เป็นรถไฟแบบว่าต่างกับเมื่อกี้ลิปลับ รถไฟธรรมดาๆ เก่าๆ


วิวจากหน้าต่างห้องพักยามเช้า ที่ฝนยังคงต 
เราเดินทางมาถึงสถานีรถไฟที่เวนิชเกือบๆเที่ยงคืนคะ สถานีที่เราลงคือ Venezia Mestre เป็นสถานีที่ยังติดฝั่งแผ่นดินอยู่นะคะ สถานีสุดท้ายที่อยู่บนเกาะซื่อ Venezia S.Lucia แอบงงเล็กน้อยตอนจอง ที่พักที่เราจองไม่ได้อยู่บนเกาะคะเพราะแพงมาก ที่ถูกๆก็ไม่ใกล้สถานีเลย เกรงว่าจะเดินทางลำบาก เพราะแพลนว่าจะถึงค่ำ ก็เลยเลือกที่ใกล้สถานีละเดินไปถึงง่ายคะก็เลยเลือกฝั่งแผ่นดินแทน ซึ่งก็ถือว่ายังดีที่คิดเผื่อไว้ไม่งั้นแย่แน่ๆ ระหว่างทางที่มาฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง หวังว่าพรุ่งนี้เช้าอากาศจะเป็นใจให้เราเที่ยวเวนิส



ตื่นเช้ามาฝนก็ยังตกคะ แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อไป เราเก็บของ check out ออกจากที่พัก ไปรอขึ้นรถไฟเพื่อไปสถานี Venezia S.Lucia ถ้าอากาศดีเราคงได้เห็นวิวสวยๆตอนนั่งรถไฟข้ามเกาะ แต่ก็ได้เห็นแค่เม็ดฝน และฝ้าขาวๆที่เกาะกระจกเพราะอากาศข้างนอกคงหนาวน่าดู แอบเห็นเวนิส ลิ๊บๆอยู่โน้นแล้วคะ เราเอากระเป๋าฝากที่สถานีรถไฟ ซื้อแผนที่ (เพราะหา information center ไม่เจอที่โรงแรมก็ไม่มี map ให้) เรียบร้อยแล้วก็ออกมาด้านนอก ก็เจอคลองเลยคะ ที่เวนิสไม่มีเมโทร หรือรถเมล์นะ มีแต่เรื่อโดยสาร กับเรือแท็กซี่ สำหรับเรือโดยสารเราสามารถซื้อตั๋วเหมาทั้งวันได้ ถ้าจำไม่ผิดราวๆ 12 ยูโร มีวิ่งอยู่สองสายขึ้นลงได้เรื่อยๆ เราเดินทางวิธีนี้เป็นหลักเพราะมีเวลาไม่มาก ก็แวะลงเดินที่จุดสำคัญๆ แล้วก็นั่งเรื่อเอาคะ เราซื้อตั๋วก่อนคะแต่ยังไม่ขึ้นเรื่อที่ท่าหน้าสถานีรถไฟเพราะคนเยอะมาก เดินเล่นก่อนแล้วค่อยไปขึ้นท่าอื่นเอา

มื้อเที่ยง
แอบเสียใจที่ไม่มีแดดออกมาให้เห็นท้องฟ้ากับน้ำทะเลใสๆ ตอนเดินก็ตื่่นเต้นกับตึกรามบ้านช่องแล้วนะ ตอนนั่งเรื่อตื่นเต้นกว่า ในที่สุดก็ได้มาเวนิสจริงๆซักที เรานั่งเรือไปลง Piazza San Marco ก่อนคะ แล้วเดี๋ยวค่อยย้อนกลับมา ซึ่งระหว่างทางเราก็จะผ่าน Grand Canal ด้วย สวยดีถ่ายรูปไปเยอะเลย อ้อตอนที่ขึ้นเรือโดยสารเราพยายามเดินออกมาที่ท้ายเรือคะจะได้ถ่ายรูปได้ เพราะข้างในมันติดกระจก ของที่ระลึกส่วนใหญ่ก็จะเป็นหน้ากาก มากมายกลายแบบสวยดีคะ เดินเล่นได้ซักพักเริ่มหิวแล้วคะ มาถึงอิตาลี่ก็หนีไม่พ้นพิซซ่ากับสปาเก็ตตี้ซินะ


อิ่มแล้วก็ออกมาเดินต่อคะ ดีใจแทบกระโดด เมื่อออกมาเจอแสงแดด.......ดีใจมากถึงมากที่สุด รีบลากเพื่อนเดินกลับไป Piazza San Marco เพื่อถ่ายรูปใหม่ เพราะเมื่อกี้อึมครึ้มมาก ในที่สุดก็ได้เห็นภาพที่จินตนาการไว้ มีแดดออกมาให้เราได้เดินเล่นจนถึงค่ำ เราไม่ได้แวะเข้าไปชมอะไรทั้งนั้นคะ เพราะเท่าที่รู้มาสถานที่ส่วนใหญ่ที่ให้เข้าชม ห้ามถ่ายรูปด้านใน เราก็ทัวร์ชะโงกดูแค่ข้างนอกก็อลังการแล้วคะ  เมืองนี้มีเสน่ห์จริงๆคะ เสียดายที่มีเวลาแค่วันเดียว เพราะเราต้องเดินทางต่อไปค้างคืนที่ Florence  ที่เหลือขอลงรูปแทนแล้วกันนะ





ทัวร์ชะโงกจ้าอยู่แต่ข้างนอก






อีกฝั่งที่ต้องนั่งเรืออีกสายไป



Saturday, September 28, 2013

สองคนเพื่อนตายลุยยุโรป-> เมื่อ Brussels ไม่น่ารักเหมือนเคย

เครียปัญหาได้แล้ว ถึงเวลาออกเที่ยวแล้วค่ะ เนื่องจากเลื่อนทริปออกไปเป็นสามอาทิตย์ ก็เลยให้เพื่อนเลือกเอาว่าจะเที่ยวในปารีสหรือจะไปเบลเยี่ยม แล้วคำตอบที่ได้คือเบลเยี่ยม เราก็จัดให้ ไปมาแล้วนี่ก็รู้ว่าอย่างน้อยต้องไป Brussels และนอนที่ Brugge ซักคืนเพราะเมืองน่ารักมาก แม้ว่าจะเคยไปมาแค่ครั่งเดียวแต่ก็ยังพอจำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนไม่ต้องเสียเวลาเตรียมตัวคะไปได้เลย เราก็เลยจองตั๋วรถ ครั้งนี้เราจะไปรถบัสของ Mega Bus แล้วกลับรถไฟ  นั่งบัสจะลำบากนิดนึ่งเพราะเค้าไม่ได้มี bus station จริงจังโดยเฉพาะ Mega Bus เนี่ย แต่ดีตรงที่รถจอดใกล้ๆกับกลางเมืองเดินทางไม่ลำบากมาก 

ทริปนี้กะว่าสะบายไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะไปมาแล้ว พักก็พักที่เดิม ตอนที่เดินเที่ยวก็ไม่น่ากลัว แต่แล้วทำไม Brussels เมืองที่น่ารักด้วยเจ้าการ์ตูนติน ติน ถึงเปลี่ยนไป เดินไปทางไหนก็มีแต่พวกแขกน่ากลัวๆ แซวตลอดทาง หรือเป็นเพราะเราเป็นผู้หญิงสองคนที่ทำหน้าโหดไม่พอเลยตกเป็นเป้า เพื่อนเริ่มไม่ปลื้มเมืองนี้เท่าไหร เลยตัดสินใจพาไปขึ้นรถไฟใต้ดินจะได้ไม่ต้องเจอพวกนี้ แต่ก็โดนดีจนได้ ขณะที่เรากำลังจะลงจากรถไฟ ก็มีผู้ชายมาเปียดเพื่อนเราเปียดเหมือนพยายามจะลง พอหลบให้ลงมันก็ไม่ลงจากรถ เพื่อนก็เลยเปียดลงมา พอเราทั้งคู่ออกมายืนที่ชานชลาผู้ชายคนนั้นก็มองหน้า มองแบบไม่วางตาเพื่อนเราก็มองหน้ามันแล้วก็บอกว่าไอ้คนนั้นมันเปียดแล้วก็ไม่ลง สิ่งแรกที่นึกได้แล้วถามเพื่อน มีอะไรหายรึป่าว!! เพื่อนก็สำรวจตัวเองขณะนั้นรถไฟก็ปิดประตูและออกไปแล้ว ปรากฏว่าถุงมือที่ยัดไว้ที่กระเป๋าเสื้อโค้ทหายไป โชดดีที่ iPhone อยู่ในกระเป๋าอีกข้างที่ไม่โดนเปียด ก็นับว่าโชคยังดีที่ไม่มีอะไรสำคัญหายไป เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของตัวเองที่อยู่ยุโรปมาหลายเดือนไม่ยักกะเจอ แล้วในที่สุดก็เจอจนได้ เป็นเพราะเราไว้ใจเมืองนี้มากไป ไม่ระวังตัวเองให้ดี วันนั้นเลยได้พาเพื่อนไปแค่ Grand Place เท่านั้นคะ ก่อนแวะหาอะไรกินและซื้อของมากินเล่นในห้องนิดหน่อยเราเข้าไปหมกตัวอยู่ในห้องตั้งแต่หกโมงเย็นกว่าๆ ไม่ออกไปไหนอีกเลย รอจนเช้าเราจะออกไป Brugge กันคะ (เตื่อนสาวๆที่จะไปเที่ยวตามรำพังว่าระวังตัวกันหน่อยนะคะ อย่ามัวแต่เพลิดเพลิน หรือเผลอ เพราะมิจฉาชีพมันจ้องเราอยู่ตลอดเวลา)

เช้าวันรุ่งขึ้นเรา check out แล้วจับรถไฟดิ่งไป Brugge เลยคะ ไม่ไหวจะเครียกะ Brussels ละงอล ก็ไม่วายเจอรถไฟสภาพแบบว่าไม่มีที่ให้นั่ง สาบานว่าครั้งที่แล้วมาสะบายกว่านี้นะ โหดได้อีกทริปนี้ เรากระเหลี่ยงชาวไทยสองคนต้องไปนั่งตรงทางเชื่อมระหว่างโบกี้อะคะได้ข่าวว่าก็จ่ายเงินนะทำไมไม่มีที่ให้นั่งหละ นั่งมาซักพักถึง Gent คนก็เริ่มลงแล้วคะมีที่นั่งละ เราจอง iBis Hotel ที่อยู่ใกล้กลับสถานีรถไฟที่ Bruggeไว้คะ ราคาไม่แพงอย่างที่คิด จองผ่าน Booking.com คราวที่แล้วมาก็เดินเที่ยวเอา ทีแรกก็เลยรากเพื่อนไปเดินก่อนคะ เหอๆ เดินๆเที่ยวได้ซักครึ่งเมืองก็เริ่มหนาวไม่ไหว เห็นคนเค้าปั่นจักรยานกัน ก็เลยตัดสินใจกลับมาเช่าจักรยานซึ่งอยู่ใกล้กลับสถานีรถไฟ (ต้องเดินย้อนออกมาอีกนะ ฉลาดจริงๆไม่รู้จักเช่าแต่แรก) สนนราคาถ้าจำไม่ผิดรู้สึก 12 euros / 24 hrs มีมัดจำอีก 50 euros เราเป็นคนปั่นเพื่อนก็ซ้อนไป 

ก้าวแรกที่พาเพื่อนเดินเข้าไปในตัวเมือง เธอก็ตกหลุมรักก่อนอิฐของตึกรามบ้านช่องที่นี่แล้วค่ะ ถ่ายรูปกันเยอะมาก กว่าจะย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้กินเวลาพอสมควร เราก็เดินชมเมืองมาเรื่อยๆคะ จนมาหยุดเอาที่ร้านทำลูกอม เพราะคนที่สาธิตการทำนี่หละคะห้าๆ ก็เวิ้นเว้อกันไปตามประสาสาวๆ ที่ Brugge นี่ไม่มีพวกแขกขาวหน้าตามิจฉาชีพให้เห็นเท่าไหร เส่นห์ของเมืองก็อยู่ที่คลองและตึกทรงโบราณที่ยังอยู่ในสะภาพดีคะ คนนำเที่ยวอย่างเราค่อยใจชื่นขึ้นหน่อยที่ลูกทัวร์ชอบ ทริปนี้เราเน้นกินหละดูขนมหน้าตาแปลกๆคะ เพราะเพื่อนเราคนนี้เป็นเจ้าของร้านเบเกอรรี่นะ มาตามหาไอเดียทำขนม 



ปั่นจักรยานที่นี่ก็ตื่นเต้นไปอีกแบบทั้งพื้นที่เป็นแบบอิฐปู แถมเลนที่ขับกันที่โน้นเข้าชิดขวา เราก็ติดปั่นชิดซ้ายลืมตัวตลอดเวลากระเหลี่ยงของจริง โดนเพื่อนดุตั้งหลายทีเพราะเกือบโดนรถเค้าสอยเอา คนปั่นก็ไม่ได้จะรู้สึกหนาวเลยคะ ออกจะร้อนด้วยซ้ำแต่คนที่ซ้อนอยู่ข้างหลังนั้นน้ำมูกไหลไปถึงไหนแล้วไม่รู้น่าสงสารจริงๆ เราปั่นเล่นทั่วเมืองจนค่ำ ก่อนจะแวะร้านอาหารที่ซุ่มเข้าเพราะความน่ารักของร้านคะ เห็นราคาอาหารก็แอบตั๊กะใจ จานเกือบยี่สิบยูโร เราเลยสั่งแค่สลัดsalmon กับจานหลักที่เป็นซี่โครงหมูแค่นั้น พนักงานคงงงกินอะไรของมัน แล้วพอมาเสริฟ โหคิดถูกคะที่สั่งแค่นั้น จานใหญ่มากกกกกก ฝรั่งกินคนเดียวหมดได้ไงนั้น

เช้าวันสุดท้ายที่ Belgium เรายังมีเวลาอยู่ที่ Brugge คะแล้วค่อยกลับเข้า Brussels บ่ายๆเพื่อแวะซื้อของฝากและขึ้นรถไฟกลับปารีสค่ะ เราได้มีโอกาสปั่นจักรยานออกไปโซนด้านนอกเมืองที่ีมีกังหันลมด้วย คราวที่แล้วไม่ได้ไป แล้วก็แวะพิพิธภัณฑ์ Chocolate คะก็เพื่อนชอบทำขนมมาถึงเบลเยี่ยมที่ขึ้นชื่อเรื่อง Chocolate แล้วก็ต้องแวะกันหน่อย ค่าเข้าชมไม่ถึง 10 ยูโร คะเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แต่ก็น่ารักได้ความรู้เรื่อง Chocolate กันไป เที่ยวที่นี่ผ่านไปได้ด้วยดีคะ เดี๋ยวเราต้องกลับเข้าไปที่ Brusselsไปแวะซื้อChocolateเป็นของฝากแล้วไม่รู้จะเจออะไรอีกบ้าง ลาฺ Brugge ด้วยรูปขนมแล้วกันนะ

กลับมาที่ Brussels เกือบๆห้าโมงเย็นคะ เรามีเวลาซื้อของฝากประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ก็เลยจะนั่งรถเมโทรไปเอาในใจก็แอบกลัว หวังว่าคงไม่เจอขโยมคนนั้นแล้ว ขณะที่เรากำลังงมป้ายที่ชานชลาว่าจะขึั้นขบวนไหน รถไฟมาเทียบพอดีเพื่อนกำลังก้าวขึ้นเราก็พึ่งดูรู้ว่าไม่ช่ายขบวนนี้ กำลังจะดึงมือเพื่อนลงมาก็หันไปเห็นกระเป๋าสะพายที่คุ้นมากกกก พอเงยหน้ามองเจ้าของ โอ้ววววช่ายเลย ไอ้หัวขโมยคนนั้น เรากะเพื่อนกระโดดถอยออกจากรถไฟขบวนนั้นทันที แล้วยืนอึ่งที่ชานชลาพร้อมกับยืนมองหัวขโมยคนนั้นที่กำลังกวักมือเรียกเรา เอิ่มมม แรงกล้ามาก   รถไฟขบวนที่เราต้องขึ้นมาพอดียังดีที่คนละทางกับหัวขโมยนั่น 

เราซื้อของทำธุระเสร็จก็จะต้องกลับไปที่สถานีรถไฟใหญ่เพื่อรอขึ้นรถไฟกลับปารีส ขณะที่เรารอรถไฟใต้ดินอยู่ที่ชานชลา เราก็มองไปที่ฝั่งตรงข้ามแล้วก็ไม่น่าเชื่อหัวขโมยคนเดิมยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเรา เหมือว่ามันจะเห็นเราด้วย เราก็รอดูว่ามันจะขึ้นรถไฟขบวนไหน ขบวนแรกที่มาถึงมันก็ไม่ขึ้นยังคงเดินป่วนเปี้ยน จนขบวนที่เราต้องขึ้นมาถึงเรากับหัวขโมยนั้นอยู่คนละฝั่งกันคะแต่ขบวนรถไฟสามารถขึ้นได้ทั้งสองฝั่ง เราทำท่าขึ้นขบวนนั้นคะแล้วทันทีที่เห็นไอ้หัวขโมยนั้นขึ้นมาเราก็โดดลงก่อนประตูจะปิดแล้ววิ่งไปหลบหลังเสา คือ ณ ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกคิดกันได้แค่นี้จริงๆ เราก็รอขึ้นขบวนถัดไป กะว่าถ้ามันดักอยู่สถานีหน้านี่มันจ่องเล่นเราชัวร์ แล้วก่อนรถไฟจะจอดสถานีถัดไปเราก็เห็นมันยืนรอรถอยู่คะ เราดูว่ามันจะขึ้นมาหรือไม่แล้วมันก็ขึ้นมาจริงๆ เราก็เลยโดดลงอีกรอบ วิ่งไปหลบหลังเสาเหมือนเดิม คือตอนนั้นก็พยายามหาเจ้าหน้าที่ประจำสถานีหรือคนท้องถิ่งแต่มองไปแล้วไปไม่เจอใครเลย มีแต่ท่าทางเป็นนักท่องเที่ยว กับที่ออกแนวหน้ากลัว เรากะว่าทิ้งระยะห่างซักขบวนค่อยขึ้นน่าจะไม่เจอแล้วเพราะอีกสองสถานีก็ถึงสถานีใหญ่ โชดดีที่เป็นไปตามคาดไม่เห็นหัวขโมยนั้นแล้วคะ แล้วเราก็มาถึงสถานีใหญ่อย่างปลอดภัย มิจฉาชีพพวกนี้เป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาทำให้ Brussels เสียชื่อ ทั้งๆที่คนท้องถิ่นก็ไม่ได้เป็นแบบนี้แต่ถ้าเค้าไม่ดูแลไม่มีเจ้าหน้าที่ในสถานีรถไฟเลย ก็น่ากลัวไม่น้อย 

ทริปนี้สอนให้รู้ว่าเป็นผู้หญิงสองคนไปเที่ยว อย่าทำตัว่ออนหัด ทำหน้าโหดๆไว้ แต่งตัวแมนๆ เพราะทริปน่าเราจะไปลุยอิตาลีที่ขึ้นชื่อกันเรื่องขโมยคะ 



Friday, September 27, 2013

สองคนเพื่อนตายลุยยุโรป: กว่าจะได้เที่ยว

ทริปนี้มีเพื่อนรวามทางเป็นเพื่อนรักที่สนิทกันมากเราเคยพูดกันเล่นๆว่าให้ตามมาเที่ยวนะ ถ้าได้ไปยุโรปแล้วเพื่อนก็มาจริงๆเจ๋งสุดๆ  เราว่างแผนทริปนี้ล่วงหน้ามานานคะ ดูตั้งแต่ว่าจะมาช่วงไหนดี อากาศช่วงไหนโอเค ช่วงไหนน่าจะเครียงานเสร็จ ก็เป็นอันตกลงกันว่าปลายๆมีนา ต้นเมษาน่าจะโอเค เพราะผ่านช่วงที่หนาวที่สุดไปแล้วเข้าช่วงฤดูใบไม้ผลิ แล้วเรียนก็ใกล้จะจบแล้วตามระยะเวลาของโปรแกรม ไม่น่าจะมีงานอะไรมาก 

เราเริ่มคุยๆกันว่าจะไปไหนบ้าง เพื่อนคลั่งไคล้อังกฤษคะและอยากไปลอนดอนมาก เพราะฉะนั้นทริปของเราเลยออกมาแบบนี้ พอมาถึงก็พาเที่ยวฝรั่งเศสก่อนซักสองวัน เผื่อเวลาให้พักฟื้นจากอาการ Jet Lag แล้วไปลอนดอน จากนั้นกลับมาพักปารีส แล้วลุยอิตาลีก่อนกลับไทยโดยบินออกจากปารีส เมื่อตกลงกันแล้วก็เขียนแผนเที่ยวคราวๆค่ะ เราเองก็ทำจดหมายเชิญเพื่อนมาเที่ยว โดยที่พักนั้นจองโรงแรมใกล้ๆลอยไว้คะ เพราะถึงเวลาจริงแอบมานอนที่ห้องเราได้จะได้ไม่เปลืองค่าที่พัก แต่ไม่สามารถเขียนเชิญให้มาพักที่ห้องตัวเองได้ เพราะตามกฏเค้าหมายคนนอกเข้าคะ ก็ระยะเวลาทั้งหมดคือสองสัปดาห์ 
เดิมทีเพื่อนจะให้เอเจนซี่ที่รู้จักดำเนินการให้แต่สุดท้ายทำทุกอย่างเองคะก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด 

เนื่องจากเราต้องไปอังกฤษด้วยซึ่งต้องขอวีซ่าต่างหากไม่สามารถใช้ Schengenได้ ก็เลยต้องขอทั้งสองที่ โดย Schengen ขอของฝรั่งเศสคะเพราะเป็นประเทศที่เราอยู่นานสุดในทริป ส่วนจะขออันไหนก่อนดีหละ เอเจนซี่ที่เคยคุยไว้บอกว่าขอ Schengen  ให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปขออังกฤษ แต่Schengen เองกลับ require ว่าถ้าจะไปประเทศอื่นนอกโซนให้ขอประเทศนั้นก่อนแล้วค่อยมาขอ Schengen  เราก็ไม่รู้ยังไงดีก็เลยตัดสินใจกันว่าขอ Schengen  ก่อนแล้วกัน  กำหนดการเดินทางมาฝรั่งเศสคือ 21 มีนา คะ ถึงก็ 22 เพื่อนได้วีซ่าทั้งสองครบแค่ไม่ถึง 1 สัปดาห์ก่อนออกเดินทางจวนเจียนมาก

แล้วเหตุการณ์ไม่ขาดฝันก็เกิดขึ้น วันที่ 21 เพื่อน เฟสมาบอกว่าาวีซ่า Schengen  เป็นแบบ Single Entry ตม.บอกว่าถ้าออกแล้วกลับเข้ามาโซนSchengen  ไม่ได้น่ะ 
เอิ่มม......สองคนที่อยู่คนละซีกโลกอึ่งกิมกี่ไปตามๆกัน  เอายังไงดีหละทีนี้ ตอนนั้นตัวเองก็คิดแค่ว่างั้นก็เปลี่ยนแผนเที่ยวในโซน Schenge ไม่ต้องไปอังกฤษ ในขณะที่เพื่อนซึ่งกำลังบินข้ามทวีปอยู่นั้นก็บอกว่า ยังไงฉันก็จะไปอังกฤษ..... ต่างคนต่างคิดแล้วค่อยว่ากัน พอรับเพื่อนจากสนามบินปุ๊ปก็พามาที่พักที่มหาลัยเลย ก็ยังตัดสินใจไม่ได้แต่ตามแผน คือพรุ่งนี้จะเข้าไปเที่ยวในปารีส option นึ่งที่ดูดีและเป็นไปได้คือเลื่อนตั๋วกลับค่ะ แล้วเปลี่ยนจากบินกลับจากปารีสเป็นลอนดอนแทน เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เราจะไปติดต่อที่สายการบินว่าเลื่อนตั๋วได้หรือไม่ 

วันเสาร์เราเข้าเมืองตอนแรกจะพาเพื่อนไปหาโมนาสิซ่า แต่ด้วยความกังวลเรื่องตั๋วเลยต้องพักทุกอย่างไว้ก่อนไปติดต่อสายการบิน Air France เสียเวลาไปครึ่งค่อนวันก็ยังเปลี่ยนไม่ได้คะ (โอ้วเขียนมาตั้งยาวยังไม่ได้ไปไหนเลย) เอาเป็นว่าสั้นๆ ในที่สุดก็เปลี่ยนตั๋วขากลับเป็น London-BKK แทนปารีสคะโดยให้เจ้าหน้าที่ Air France ที่เมืองไทยเป็นคนจัดการให้ และขยายเวลาเที่ยวเป็นสามอาทิตย์ ลอนดอนที่จองตั๋วเครื่องบินLow-cost ไว้เป็นต้องทิ้งทั้งหมดค่ะ เปลี่ยนไม่ได้ ขายต่อคนอื่นก็ไม่ได้ ส่วนที่พักยังพอเลื่อนได้ สุดท้าย plan ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็น ปารีส-เบลเยี่ยม-อิตาลี่-อังกฤษ แทนคะ

หมดปัญหาเรื่องตั๋วและวีซ่า ก็มาเจอกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บค่ะ วันแรกที่เพื่อนมาถึงเลขตัวเดียวเลยคะ เสื้อผ้าที่เพื่อนเอาติดตัวมาก็ไม่พร้อมเพราะตอนแรกบอกเพื่อนว่าน่าจะสิบกว่าๆนิดๆ นี่ปาไปเกือบ 0 องศา ปีนี้ฝรั่งเค้าบอกว่ามันเป็น Coldest March หนาวกันไปคะงานนี้ มีเสื้อกี่ตัวๆ ขนมาให้เพื่อนใส่หมดเพราะยังปรับตัวไม่ได้ ทริปสามอาทิตย์นี้มีอะไรให้เล่าเยอะคะ เอารูปมาเรียกน้ำย่อยไปก่อน เดี๋ยวจะรีบเขียนที่เหลือตามมาคะ