ไม่รู้ว่า blog นี้จะมีประโยชน์กับใครบ้าง แต่มีประสบการณ์มากมายที่อยากแบ่งปัน
ขอท้าวความก่อนถึงที่มาที่ไปว่า จากเด็กคนหนึ่งที่เรียนไม่เก่งเอาซะเลย ติด0ตลอดโดยเฉพาะภาษาอังกฤษจะมีความฝันอยากไปยุโรป ก็เพราะไม่เก่งอังกฤษนั้นหละเลยไปเอาดีด้านภาษาฝรั่งเศส และการที่เรียนภาษานี้นานๆ มันก็ถูกปลูกฝังว่าซักวันจะไปเหยีบให้ได้ปารีส!! แต่บ้างครั้งความจริงมันก็โหดร้าย
ใช้เวลานานกว่าหกปีหลังจากจบป.ตรี มุนษย์ฝรั่งเศส สมัครทุนนับครั้งไม่ท้วน เสียใจแล้วเสียใจอีก ในที่สุดวันของเราก็มาถึง แต่เส้นทางที่ได้มาก็ช่างแตกต่างกับที่ฝันไว้สุดๆ
ตั้งแต่เรียนจบวางแผนว่าจะหาทุนเรียนต่อโทที่ต่างประเทศให้ได้ ประเทศเดียวเท่านั้นที่จะไปคือฝรั่งเศสเรียนซักสองปี แล้วกลับมาทำงาน ความฝันก็ดูดีเสมอ ผิดกับความเป็นจริงที่แสนจะลำบาก ด้วยพื้นฐานทางครอบครัวที่มีต้นทุนไม่สูงนัก ลูกแม่ค้าธรรมดาที่พ่อแม่ส่งเรียนป.ตรีจบก็หรูแล้ว ที่เหลือที่ฝันก็ต้องฝ่าฟันไปเอง จบมาทำงานได้ปีสองปี ก็ตั้งเป้าว่าอีกสองปีข้างหน้าจะต้องไปเรียนต่อให้ได้ หรือไม่ก็หางานอื่นทำที่ได้เงินเยอะกว่านี้ ระหว่างที่ทำงานก็ติดตามข่าวทุนตลอดช่วงนั้นทุนทางฝั่งยุโรปที่มาแรงคือ Erasmus Mundus ที่ออกให้ทุกอย่างเราไม่ต้องเสียอะไรเลย โดยโปรแกรมมีข้อกำหนดว่าจะต้องเรียนอย่างน้อยในสองประเทศ จากมหาลัยที่ร่วมโครงการอยู่ ซึ่งก็แล้วแต่สาขาว่าจะมีมหาลัยอะไรบ้าง ประเทศอะไร
แน่นอน ประเทศที่มองหาก็คือฝรั่งเศส requirement พื้นฐานของโปรแกรมนี้ก็คือ คะแนน TOFEL (550 ) หรือ IELS (6.5) อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่าเรียนภาษาอังกฤษแย่มากตกทุกเทอมแล้วTOFEL 550 หรือ 80 สำหรับ internet base จะทำได้ๆไงเนี่ย แต่เมื่อมีฝันก็ต้องไปให้ถึง สิ่งเดียวที่บอกกับตัวเองคือ ในเมือมันเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางก็จงทำลายมันซะอย่าให้มันมากำหนดชีวิตเรา ใช้เวลาอยู่หนึ่งปีที่ติวเข้มจริงๆ แต่ก่อนหน้านี้มันก็เริ่มพัฒนามาบ้างแต่ไม่ถึงขั้นหรอกนะคะได้แค่ snake snake fish fish
หลังจากที่เตรียมตัวอย่างหนัก นั่งทำตัวอย่างข้อสอบทั้งของ Barrons, Cambridge, etc. ก็บอกตัวเองว่าพร้อมหละไปสอบให้มันรู้ไป ซึ่งก็ไม่เสียแรงที่ทุ่มเท คะแนนที่ได้กลับมาคือ 79 TOFEL IBT สอบเมื่อปี 2008 ซึ่งถือว่าพอใจมากและดีใจมากที่ในที่สุดก็ทำได้ อยากจะให้กำลังใจหลายๆคนที่มีปัญหาว่าภาษาอังกฤษยากทำไม่ได้ เชื่อเถอะคะว่าไม่มีอะไรเกินความพยายาม คนเราทุกคนพัฒนากันได้คะสู้ๆ ขอบ่นนิสนึงว่า ใครว่าโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียม ดูทุนทั้งหลายที่ให้สิคะมี requirement นี้ทุกอัน แล้วเด็กจนๆจะหาเงินที่ไหน ห้าหกพันไปสอบ -_-'
หลังจากที่เตรียมตัวอย่างหนัก นั่งทำตัวอย่างข้อสอบทั้งของ Barrons, Cambridge, etc. ก็บอกตัวเองว่าพร้อมหละไปสอบให้มันรู้ไป ซึ่งก็ไม่เสียแรงที่ทุ่มเท คะแนนที่ได้กลับมาคือ 79 TOFEL IBT สอบเมื่อปี 2008 ซึ่งถือว่าพอใจมากและดีใจมากที่ในที่สุดก็ทำได้ อยากจะให้กำลังใจหลายๆคนที่มีปัญหาว่าภาษาอังกฤษยากทำไม่ได้ เชื่อเถอะคะว่าไม่มีอะไรเกินความพยายาม คนเราทุกคนพัฒนากันได้คะสู้ๆ ขอบ่นนิสนึงว่า ใครว่าโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียม ดูทุนทั้งหลายที่ให้สิคะมี requirement นี้ทุกอัน แล้วเด็กจนๆจะหาเงินที่ไหน ห้าหกพันไปสอบ -_-'
ด่านแรกผ่านไป เรื่องต่อมาที่ต้องคิดก็คือแล้วจะเรียนสาขานอะไรหละ จบมนุษย์ฝรั่งเศสมาแต่สายงานที่ทำดันเป็น data management ห่างไกลกันลิบลับ สมัครโปรแกรมที่เป็นสายคอมก็สู้คนอื่นทีจบมาตรงสายไม่ได้แต่ก็ลองดู ด่านสุดท้ายก็คือ reference ค่ะ ต้องบากหน้ากลับไปหาอาจาร์ยให้เขียนจดหมายให้ (ป.ล.เราต้อง draft ไปให้อาจาร์ยนะคะ จาร์ยเค้าไม่มีเวลามานั่งเขียนให้เราจริงๆหรอก
สุดท้ายก็สมัครไปหลายทุนมาก EM ทั้งนั้น ไม่ได้ซักอันเสียใจร้องไห้ไม่รู้กี่รอบจนในที่สุดก็ครบเวลาสองปีที่ตั้งไว้ ทำยังไงดีเอายังไงต่อ ระหว่างที่คิดก็ทำงานเดิมไป หาทุนไปแต่เริ่มเปลี่ยนแนว มาหาทุนในประเทศที่มีโครการ exchange ระหว่างเรียนแทน ใจจริงไม่อยากเรียนในไทยหรอกคะ ไม่ได้อะไรแค่อยากไปอยู่เมืองนอกนานๆ
ในที่สุดก็มีเพื่อนมาชวนให้สมัครทุนที่ AIT Asian Institute of Technology เห็นชื่อทีแรกก็กลัวคะที่นี่เป็นมหาลัยระดับบัณฑิตศึกษาคือสอนแต่ป.โทกับเอกมีแต่เด็กหัวกะทิแนวหน้า หลักสูตรก็อินเตอร์ แต่เค้ามีทุนจากรัฐบาลไทยให้สำหรับเด็กไทยคะ โดยดูตาม GPA จากป.ตรี ถ้าเกิน 3.5 จะได้ทุนค่าเล่าเรียนเต็มจำนวนคะ ก็เลยลองส่งใบสมัครดู เพราะมีสาขาที่สนใจคือ Information Management
ซึ่งค่อยข้างสอดคล้องกับสายงานที่ทำ และด้วยความที่ชอบสายนี้และอยากได้ความรู้เพิ่มเติมจริงๆเพราะน่าจะเป็น career path ที่เหมาะกับตัวเองก็เลยสมัครคะ วันที่ไปสัมภาษณ์ก็ถามตัวเองว่าจะเรียนที่นี่จริงๆ เหรอ สุดท้ายได้เรียนที่เมืองไทยเหรอเนี่ย ก็แอบนอยด์เล็กน้อย สุดท้ายก็ได้เรียนที่นี่ปี 2010 คะ ระหว่างเรียนที่นี่ก็เห็นโครงการ exchange มากมาย อีกเช่นเคยมีของ EM ด้วย ทายสิคะว่าจะสมัครมั้ย
ซึ่งค่อยข้างสอดคล้องกับสายงานที่ทำ และด้วยความที่ชอบสายนี้และอยากได้ความรู้เพิ่มเติมจริงๆเพราะน่าจะเป็น career path ที่เหมาะกับตัวเองก็เลยสมัครคะ วันที่ไปสัมภาษณ์ก็ถามตัวเองว่าจะเรียนที่นี่จริงๆ เหรอ สุดท้ายได้เรียนที่เมืองไทยเหรอเนี่ย ก็แอบนอยด์เล็กน้อย สุดท้ายก็ได้เรียนที่นี่ปี 2010 คะ ระหว่างเรียนที่นี่ก็เห็นโครงการ exchange มากมาย อีกเช่นเคยมีของ EM ด้วย ทายสิคะว่าจะสมัครมั้ย
แน่นนอนคะ เราเรียกตัวเองว่า scholarship seeker มีเหรอจะไม่สมัคร ไม่พอชวนเพื่อนสมัครอีก แต่สุดท้ายเราไม่ได้ เพื่อนเราได้แทนก็ไม่เป็นไรดีใจกะเพื่อน ปาเข้าไปปี 2011 จะจบปีหน้าแล้วยังไม่ได้ไปไหนเลย เมษาปี 2012 ต้องสอบจบแล้ว ทำยังไงดี
แล้วโอกาสของเราก็มาค่ะ ปลายปี 2011 โครงการแลกเปลี่ยนของทางภาควิชาที่มีประจำทุกปีก็เปิดให้เด็กปีหนึ่งสมัครคะ เป็นการไปเรียนที่ ปารีส สองเทอมทำทีสิสกับมหาลัยที่โน้น แล้วได้ปริญญาจากทั้งสองที่คะ (dual degree program) ซึงเราอยู่ปีสองนะตอนนั้นจะสมัครได้มัยนั้นคือคำถาม แล้วทีสิสก็ทำจะเสร็จแล้วจะให้ไปทำไรที่โน้นอีก แต่ก็ไม่ลองไม่รู้คะ เพื่อนๆยุให้สมัคร แถมช่วยประเมิณโอกาสได้อีกว่าความเป็นไปได้สูงมาก คู่แข่งน้อย เพราะปีนั้นด้วยผลจากน้ำท่วมหรือยังไงไม่รู้ คนสมัครน้อยมาก เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่อาจาร์ยก็ไม่แน่นใจว่าจะสมัครได้หรือไม่ คลุมเคลืออยู่นานจนอาจาร์ยเมล์มาบอกว่าให้สมัครได้ให้รีบส่งเอกสารมาแล้วอาทิตย์หน้าจาร์ยที่ฝรั่งเศสจะบินมาสัมภาษณ์ทุกอย่างเร็วมาก สุดท้ายก็ส่งไป แล้วก็สัมภาษณ์ แล้วในที่สุด ก็ได้คะ ได้ไปแล้วปารีส!!!
ถึงแม้จะแปดเดือนก็เอา ถึงแม้จะต้องออกค่าตั๋วเครื่องบินเองก็จะไปคะ เงินเดือนที่สะสมมาระหว่างเรียนก็หมดกันคราวนี้หละคะ ดีหน่อยที่เค้ามีเงินเดือนให้แต่แค่ 750 euros คะ ได้ข่าวว่าค่าที่พักก็ปาไปเดือนละ 400 euros แล้วโหดมาก
ไว้รายละเอียดการเตรียมตัวจะเล่าใน blogต่อไปนะ แต่อยากจะทิ้งท้ายว่า มีความฝันแล้วอย่าทิ้งมันคะ กล้าที่จะฝันก็ต้องกล้าที่จะทำ แม้ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่ซักวันมันจะเป็นวันของเราคะ
เขียนดีจุงเบยยยย น่าจะเอาไปทำเป็นหนังสือนะคะ
ReplyDeleteใครอะ จะรู้มั้ย หืออ
ReplyDelete