เบอร์ลิน หรือ แบคร์แลงในภาษาฝรั่งเศส เป็นอีกประเทศที่ไม่มีในหัวว่าจะไป แต่ที่ต้องไปเพราะหน้าที่ ไปเป็นแรงงานต่างด้าวช่วยอาจารย์จัดประชุม เราแอบสืบมาเป็นอย่างดีว่าหลังจากเสร็จประชุมจะถูกส่งกลับมาปารีสทันที ถ้าไม่ต่อรองกับอาจารย์ก็จะไม่ได้เที่ยวอย่างแน่นอน เพราะกว่าจะเลิกประชุมในแต่ละวันก็มืดค่ำไม่ได้เที่ยวที่ไหนแล้ว ดังนั้นเราจึงนัดแนะกับเพื่อนๆแรงงานต่างด้าวด้วยกันเพื่อขอกลับวันอาทิตย์ (Conference จบวันพฤหัส เราก็มีเวลาเที่ยว ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์) แต่เจรจาไปมาก็อยู่ได้ถึงแค่วันเสาร์ ก็ยังดีคะ ทริปนี้มีเพื่อนร่วมชะตากรรมด้วยกัน 7 คน เป็นเด็กเอเชียทั้งหมด เวียตนาม 2 ไต้หวัน 2 เนปาล 1 ไทย 2 (รวมตัวเองด้วย) ที่มาเรียนโปรแกรมเดียวกัน เรียนด้วยกันตลอดหนึ่งเทอม ทั้งห้องมีแต่คนเอเชีย จนสงสัยว่าตูมาฝรั่งเศสเพื่อ!! แล้วจา parler francais (พูดฝรั่งเศส) กะใคร -_-'
ทริปนี้เป็นลูกทัวร์คะมีสองสาวไต้หวันเป็นหัวหน้าทัวร์พากิน พาเที่ยว ทริปนี้เราเบิกค่าอาหารได้หมดคะก็เลยกินกันอลังการจัดเต็มมาไว้ดูกัน สองสาวเค้ามีไกด์บุ๊คดีคะ เห็นบอกว่าเป็นหนังสือที่แปลมากจากภาษาญี่ปุ่นอีกที เธอมีสำหรับหลายประเทศมาก เที่ยวเยอะและเชี่ยวชาญกว่าเราเป็นไหนๆ รู้หมดช่วงไหนมีโปรโมชันตั๋วรถไฟ ช่วงไหนที่ไหนมีเทศกาลอะไรไม่เคยพลาด อยากจะไปร่วมทริปด้วยจริงๆแต่จองไม่เคยทันเค้าคะ เค้าจองและว่างแผนล่วงหน้าเป็นเดือนๆ เป็น travel planner ตัวยงจริงๆ
จากปารีสไปเบอร์ลินเรานั่ง Low cost airline ไปคะ easyjet นั้นเอง สนามบินหลักๆในปารีสก็มี Charles de Gaulle กับ Orly คะ ซึ่ง Orlyก็จะคล้ายๆ ดอนเมืองบ้านเราเอาไว้บิน domestic คือออกไปเมืองอื่นในฝรั่งเศส หรือประเทศอื่นใน Schengen คะ จากมหาลัยที่อยู่ไป Orly ก็ต้องนั่งรถไฟแล้วไปต่อบัส แต่ถ้ามาจากปารีสมีรถไฟยิงยาวมาเลยคะ แต่ไม่เคยขึ้น
ทริปนี้อาจจะไม่มีข้อมูลอะไรจะเล่าให้ฟังมากนะคะ เพราะไม่ได้หาข้อมูลอะไรไปเลยเราฝากชีวิตไว้กะสาวๆไต้หวันคะ เหอๆ ถึงเบอร์ลินเราก็นั่งรถไฟจากสนามบินเข้าไปในเมืองคะ ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะถึง 30-45 นาทีได้ ที่พักเราอยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟมากนักคะ ร่วมถึงโรงแรมที่จัดประชุมด้วย มาถึงเราก็จัดมื้อแรกกันเลยคะ กินฟรีอยู่แล้วชิมไส้กรอกเยอรมันก่อนคะเบาๆ Currywurst จากนั้นก็เข้าที่พักเก็บของแล้วค่อยออกไปสำรวจเมืองกัน ถึงจะเป็นแรงงานต่างด้าวแต่ที่พักก็ดูดีที่สุดแล้วในบรรดาที่ไปพักมา ทางผู้จัดจองโรงแรมให้เราเป็นอย่างดีคะ แล้วเดี๋ยวค่อยดูคืนสุดท้ายที่เราพักต่างกันสิ้นเชิงหุๆ
เก็บข้าวของเรียบร้อยเราก็ออกไปสำรวจเมืองคะ มาถึงเบอร์ลินแล้วแน่นอนต้องไปดูกำแพงเอบร์ลินสิ ร่องรอยประวัติศาสตร์ที่สำคัญของโลก กำแพงที่แบ่งกันเยอรมันออกเป็นสองส่วน ทุกวันนี้กลายเป็นงานศิลปะที่สื่อถึงสันติภาพ และอิสระภาพ เราไปถึงก็ใกล้มืดแล้วคะ เลยถ่ายรูปได้ไม่มาก มองไม่ค่อยเห็น
พูดถึงรถไฟที่เบอร์ลิน ราคาถูกกว่าที่ปารีสอีกคะ แล้วที่นี่เค้าไว้ใจพลเมืองเค้ามาก สถานีรถไฟไม่มีประตูกันทางเข้า มีแค่เครื่อง validate ตั๋วอยู่ตรงชาญชลา คนตรวจตั๋วบนขบวนรถก็ไม่ค่อยมีแปลกดี
ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าเบอร์ลินเป็นเมืองแข็งๆคะ เพราะมีทั้งสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ปนกับตึกสมัยเก่าที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ แถมสีมันก็เหมือนไม่ค่อยได้รับการบำรุงรักษาเท่าไหร เทียบกับในปารีสแล้วย่านที่เป็นตึกทรงเก่าก็จะถูกเก็บรักษาไว้คะ ส่วนที่เป็นตึกสมัยใหม่ก็จะอยู่แยกไว้อีกย่านหนึ่ง แล้วสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆก็ได้รับการดูแลอยู่เสมอ แต่ก็อย่างว่าคะได้รับการดูแลดีค่าเข้าชมก็เลยแพงกว่าที่เยอรมันเกือบเท่าตัว ก็อย่างพิพิฑภัณที่เราไปเที่ยวค่าเข้าแค่ 5 ยูโรแต่ Musee du Louvre ที่ปารีส 11 ยูโรหนะ (แต่ความอลังการต่างกันเทียบกันไม่ได้อยู่ดี) เอาเป็นว่า เป็นไอเดียคราวๆก็แล้วกันคะ เพราะแต่ละที่ก็มีเสน่ห์ของตัวเอง แม้จะรู้สึกว่าเบอร์ลินเป็นเมืองแข็งๆ แต่เค้าก็แอบมีความน่ารักไว้นะคะ เช่นไฟข้ามถนนปกติที่เราเห็นก็เป็นรูปคนเฉยๆ แต่ที่นี่ไม่เหมือนใครคะ เป็นรูปคนใส่หมวกทำท่ากำลังเดินข้ามน่ารักเชียวคะ รีบคว้ากล้องมาถ่ายรูปเก็บไว้ให้ทุกคนดูก่อนมัวแต่ถ่ายรูปข้ามถนนเกือบไม่ทัน อีกอย่างที่เจอบ่อยมากและเป็นเอกลักษณ์ของเบอร์ลินก็คงเป็นเศษขวดเบียร์ที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด สมกับเป็นเมืองที่น้ำเปล่าแพงกว่าเบียร์จริงๆคะ ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็มี
โอ้ววลืมรูปกำแพงเบอร์ลิน
เราอยู่ที่นี่ร่วมหนึ่งอาทิตย์ได้คะ ออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าเจ็ดโมงเพื่อไปเตรียมจัดประชุมจนถึงค่ำราวๆทุ่มได้ ซึ่งส่วนใหญ่หลังเลิกงานเราก็จะไปหาอะไรอร่อยๆกินคะ มีบางวันที่กินขนมที่งานประชุมจนอิ่มไม่ได้ไปกินข้าวกันก็มี เพราฉะนั้นจากนี้ไปจะ รีวิวร้านอาหารที่เราไปกันคะ โดยคนที่แนะนำและพาเราก็ไปก็ไม่พ้นสองสาวไต้หวันคะ
วันต่อมาเราเปลี่ยนบรรยากาศไปร้านอาหารญี่ปุ่นกันบ้างคะ เลิกงานแล้วเราก็นั่งรถไฟออกไปนอกเมือง ร้านนี้อยู่ไกลหน่อย แต่ประทับใจมากคะ ราคาอาหารก็ถูกรสชาติดีมาก อย่างจานที่สั่งมากินเองถ้าจำไม่ผิดประมาณ 5 ยูโรได้เทียบกับในปารีสแล้วถือว่าถูกคะ ราเมงหนึ่งชามในปารีสก็เฉียดๆ 10 ยูโรแล้วค้าา
แอบนึกในใจว่า รู้งี่เลือกเรียนศิลป์เยอรมันก็ดี ที่นี่ค่าครองชีพถูกกว่าปารีส ก็เป็นบทเรียนคะว่าควรศึกษาให้ดีว่าแต่ละเมืองเป็นแบบไหนค่าครองชีพที่นั้นเป็นอย่างไร ก่อนตัดสินใจมาเรียนคะหึๆ
ยังต่อกันด้วยอาหารเอเชีย จากตัวเลือกที่สองสาวให้มาคราวนี้เราเลือก Hotpot แบบไต้หัวน อันนี้เป็นบุฟเฟ่คนหละ 15 ยูโรคะ น้ำซุบมีให้เลือกสองแบบคะ แบบจืดกับเผ็ด แบบจืดนี่ออกแนวต้มจืดเลยคะ แบบเผ็ดก็จะมันมากเพราะเป็นน้ำมันพริกแต่อร่อยคะสีสันใช้ได้เลยทีเดียว น้ำจิ้มก็ไม่ได้รสชาติจัดจ้านแบบบ้านเราคะเป็นอารมณ์กระเทียมกับถั่วแล้วก็มีน้ำมันงา สองสาวจัดการสั่งให้ทุกอย่างคะ เค้าพูดภาษาจีนกันเราก็ใบ้รับประทานไปเลยคะช่วงนี้ เยอรมันก็ไม่ได้ จีนก็ไม่ได้..แม้หน้าจะให้ เราสั่งกันเยอะมากเพราะเป็นบุฟเฟ่เยอะจนเจ้าของร้านบอกว่าพอก่อนมั้ยเอามาดูก่อนมั้ยไม่พอค่อยสั่งเพิ่มเดี๋ยวกินไม่หมด ก็อิ่มกันกลับไปเต็มที่คะ ยังเหลือเมนูในตัวเลือกที่สองสาวหาให้เราอีก อย่างพึ่งจุกนะคะยังเหลืออีกหลายมื้อ
อีกวันเราก็สลับมากินอาหารเยอรมันคะก็ยังหนีไม่พ้น ไส้กรอกกับขาหมูเยอรมัน คราวนี้ได้มีโอกาสชิมเบียร์เยอรมันจริงๆจังๆ เพราะทุกทีจิบๆแล้วก็วางไม่ค่อยชอบเท่าไหรมันขม แต่วันนี้เพื่อนยุว่ามาถึงแล้วก็ต้องชิม แถวยังช่วยสั่งแบบเบาๆให้เป็นเบียร์ที่ผสมน้ำมะนาวคะบอกบริกรเพิ่มอีกว่าเอาแบบน้ำมะนาวเยอะหน่อยนะ แล้วเราก็เลือกจานหลักของใครของมันเดี๋ยวมาแบ่งกันชิม ทุกคนในโต๊ะสั่งเบียร์กันหมดกินไปคุยไปจนทุกคนน่าแดงมีเลือดฝาด อิ่มหน่ำสำราญกันแล้วเราก็เดินทางกลับที่พักกันคะดึกแล้ว เดินมาจนถึงสถานีรถไฟก็นึกขึ้นได้ว่า เอ๊ะ มือถือหละเอาไว้ไหน หาในกระเป๋าเสื้อ jacket ก็ไม่เจอ ในกระเป๋ากางเกงก็ไม่มี ซวยแล้วมือถือหาย ระหว่างนั้นก็เดินมาจนถึงสถานีรถไฟ พอสำรวจแน่ใจแล้วว่าไม่มี หายชัวร์ก็หันไปบอกเพื่อนว่า ทุกคนเราทำมือถือหาย ขอเดินกลับไปหาก่อนนะ รออยู่นี่หละ เพื่อนๆก็บอกว่าไม่เป็นไร ไปช่วยกันหา ก็เดินมองตามทางที่เดินผ่านเมื่อกี้ ก็ไม่เจอ เพื่อนมาถามว่ามีใครมาเดินชนรึเปล่าโดนฉกไปรึป่าว ซึ่งก็ไม่มีไม่ได้ไปเบียดกับใคร เดินย้อนกลับมาจนถึงร้าน เลยเค้าไปถามเค้าว่ามีมือถือทำตกไว้มั้ย ทางร้านก็บอกว่าไม่มีนะ เพื่อนๆก็ยังช่วยกันก้มหาแถวใต้โต๊ะที่เรานั่งกันเมื่อกี้ก็ไม่มี หาเท่าไหรก็ไม่เจอ ในใจก็คิดว่าชั่งมันเถอะของมันจะหายทำไงได้แค่เสียดายพึงมาได้ไม่กี่เดือนแล้วจะเอาโทรศัพท์ไหนใช้ เพื่อนก็หันมาถามย้ำว่าหาดีแล้วใช่มั้ยไม่ได้อยู่ในกระเป๋าเสื้อน่ะ ก็ตอบไปว่าไม่มีหาแล้วเนี่ย แล้วก็ตบๆกระเป๋าเสื้อที่หน้าอก ....อุตะ แหๆ อยู่นี่ เจอแล้ววววว อยู่ในกระเป๋าเสื้อ ยัดไปตอนไหนอ่าทำไมจำไม่ได้........ เพื่อนก็แบบว่าเออดีแล้วที่ไม่หาย ยูเมาช่ายมั้ยเนี่ย... ไม่เมาใครเมา แค่ความจำหายไปสามวิเอง
เช้าวันศุกร์ วันนี้ได้เที่ยวตอนกลางวันแล้วคะ ก่อนอื่นก็ย้ายที่พักกันก่อนคืนนี้เราจะนอนhostelกันคะ คืนหละ 15ยูโรเท่านั้น นอนด้วยกัน 7 คนเลยคะ เอากระเป๋าไปฝากเรียบร้อย เราก็ออกไปนอกเมืองไปชมพระราชวังเก่า ซึ่งที่ๆเราจะไปอยู่ไกลออกไปจากโซนที่เราซื้อตั๋วแบบรายสัปดาห์ไว้คะก็ต้องไปซื้อตั๋วเพิ่มอีก ระหว่างที่นั่งรถไฟก็มีประกาศเป็นภาษาเยอรมันแน่นอนฟังไม่รู้ หันไปมองหน้ากับเพื่อนแล้วก็เอิ่มม ก็กะว่าถ้าเค้าลงกันหมดเราก็ลงตาม แต่แล้วคุณป้าที่นั่งข้างๆ ก็หันมาถามว่ารู้มั้ยเค้าประกาศว่าอะไร ก็ส่ายหัวกลับไปคะว่าไม่รู้ คุณป้าก็เลยบอกว่าเนี่ยยูจะไปพระราชวังช่ายมั้ยเดี๋ยวถึงสถานีหน้าต้องลงนะเพราะขบวนนี้ไปไม่ถึงแล้วยืนรอที่ชาญชลาเดิมรอรถขบวนถัดไป ณ วินาทีนั้นโอ้วววรู้สึกดีใจมาก ประทับใจด้วยไม่เคยเจออะไรแบบนี้ในปารีส คุณป้าใจดีจุง เราก็เลยถือโอกาสชวนคุณป้าคุยต่อจนถึงสถานีที่เราต้องลง มิตรภาพดีๆ ที่เจอระหว่างทาง ก็เป็นความทรงจำที่น่าประทับใจนะคะ
คืออย่างที่บอกว่าไม่มีข้อมูลอะไรมากเกี่ยวกับสถานที่แต่ละที่ๆไปเที่ยวคะ เอาเป็นว่าพระราชวังที่เราไปนั้นก็จะมีวังอยู่ใกล้ๆ กันหลายๆ วังคะ เดินถึงกันได้ แต่ก็ไกลไม่ช่ายน้อย บางทีก็ต้องใช้บริการรถเมล์คะ เราใช้เวลาทั้งวันเพื่อเที่ยวที่นี่คะ แล้วจากนั้นตอนเย็นก็กลับเข้าไปในเมืองไปดูการแสดงแสงสีเสียงสามมิติคะ สวยมาก ซึ่งช่วงที่เราไปมีการจัดแสดงไฟแบบนี้อยู่หลายจุดทั่วเบอร์ลินคะ ส่วนวันสุดท้ายเราก็ตื่นแต่เช้าไปเก็บ shot ตอนกลางวันของที่ๆเราเคยได้แต่ผ่านไปตอนกลางคืนคะ
เก็บข้าวของเรียบร้อยเราก็ออกไปสำรวจเมืองคะ มาถึงเบอร์ลินแล้วแน่นอนต้องไปดูกำแพงเอบร์ลินสิ ร่องรอยประวัติศาสตร์ที่สำคัญของโลก กำแพงที่แบ่งกันเยอรมันออกเป็นสองส่วน ทุกวันนี้กลายเป็นงานศิลปะที่สื่อถึงสันติภาพ และอิสระภาพ เราไปถึงก็ใกล้มืดแล้วคะ เลยถ่ายรูปได้ไม่มาก มองไม่ค่อยเห็น
พูดถึงรถไฟที่เบอร์ลิน ราคาถูกกว่าที่ปารีสอีกคะ แล้วที่นี่เค้าไว้ใจพลเมืองเค้ามาก สถานีรถไฟไม่มีประตูกันทางเข้า มีแค่เครื่อง validate ตั๋วอยู่ตรงชาญชลา คนตรวจตั๋วบนขบวนรถก็ไม่ค่อยมีแปลกดี
ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าเบอร์ลินเป็นเมืองแข็งๆคะ เพราะมีทั้งสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ปนกับตึกสมัยเก่าที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ แถมสีมันก็เหมือนไม่ค่อยได้รับการบำรุงรักษาเท่าไหร เทียบกับในปารีสแล้วย่านที่เป็นตึกทรงเก่าก็จะถูกเก็บรักษาไว้คะ ส่วนที่เป็นตึกสมัยใหม่ก็จะอยู่แยกไว้อีกย่านหนึ่ง แล้วสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆก็ได้รับการดูแลอยู่เสมอ แต่ก็อย่างว่าคะได้รับการดูแลดีค่าเข้าชมก็เลยแพงกว่าที่เยอรมันเกือบเท่าตัว ก็อย่างพิพิฑภัณที่เราไปเที่ยวค่าเข้าแค่ 5 ยูโรแต่ Musee du Louvre ที่ปารีส 11 ยูโรหนะ (แต่ความอลังการต่างกันเทียบกันไม่ได้อยู่ดี) เอาเป็นว่า เป็นไอเดียคราวๆก็แล้วกันคะ เพราะแต่ละที่ก็มีเสน่ห์ของตัวเอง แม้จะรู้สึกว่าเบอร์ลินเป็นเมืองแข็งๆ แต่เค้าก็แอบมีความน่ารักไว้นะคะ เช่นไฟข้ามถนนปกติที่เราเห็นก็เป็นรูปคนเฉยๆ แต่ที่นี่ไม่เหมือนใครคะ เป็นรูปคนใส่หมวกทำท่ากำลังเดินข้ามน่ารักเชียวคะ รีบคว้ากล้องมาถ่ายรูปเก็บไว้ให้ทุกคนดูก่อนมัวแต่ถ่ายรูปข้ามถนนเกือบไม่ทัน อีกอย่างที่เจอบ่อยมากและเป็นเอกลักษณ์ของเบอร์ลินก็คงเป็นเศษขวดเบียร์ที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด สมกับเป็นเมืองที่น้ำเปล่าแพงกว่าเบียร์จริงๆคะ ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็มี
โอ้ววลืมรูปกำแพงเบอร์ลิน
เราอยู่ที่นี่ร่วมหนึ่งอาทิตย์ได้คะ ออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าเจ็ดโมงเพื่อไปเตรียมจัดประชุมจนถึงค่ำราวๆทุ่มได้ ซึ่งส่วนใหญ่หลังเลิกงานเราก็จะไปหาอะไรอร่อยๆกินคะ มีบางวันที่กินขนมที่งานประชุมจนอิ่มไม่ได้ไปกินข้าวกันก็มี เพราฉะนั้นจากนี้ไปจะ รีวิวร้านอาหารที่เราไปกันคะ โดยคนที่แนะนำและพาเราก็ไปก็ไม่พ้นสองสาวไต้หวันคะ
ร้านแรกที่เธอพาเราไปซื่อว่า Mutter Hoppe เธอบอกว่าเป็นร้านต้นตำหรับอาหารเยอรมันเลยคะ อยู่ไม่ไกลจากที่เราจัดประชุมด้วย ร้านนี้บรรยากาศตกแต่งน่ารักดีคะ เราก็ยังติดนิสัยคนเอเชียคะที่สั่งอาหารแล้วมาแชร์กินด้วยกัน เราเลือกสั่งจานใหญ่ มาสามจานแล้วก็สลัดอีกหนึ่ง เมนูที่เราคิดเหมือนกันและอยากชิมก็คือขาหมูเยอรมันคะ ซึ่งเอาจริงไม่เคยรู้ว่าคำว่าขาหมูภาษาอังกฤษมันเรียกว่า Pork hock เราก็ดูเมนูซึ่งเป็นภาษาเยอรมัน ไม่มีภาพประกอบอีก เราก็หาแต่คำว่า Pork leg ตลกมากไม่ว่าจะชาติไหนในเอเชียก็เรียก Pork leg เหมือนกันหมด จนต้องถามคนรับ order ว่าอยากกินแบบนี้มันคือเมนูอะไร จำไม่ได้จริงๆว่าในภาษาเยอรมันมันเรียนกว่าอะไร แต่ google มาแล้วคะมันคือ Schweinshaxe ซึ่งมันก็คือ Pork hock served grilled and crispy with Sauerkraut or boiled as Eisbein ขาหมูเยอรมันที่เสิรฟกับผักกาดดองแล้วก็อะไรไม่รู้คล้ายๆมันบดคะ เราสั่งสิ่งนี้มาสองจานแล้วก็ อีกจานเป็นหมูกรอบ
อร่อยมั้ยเหรอคะมาถึงถิ่นแล้วก็ต้องบอกว่าอร่อยมากคะไม่เหมือนที่เมืองไทยที่บ้างร้านเอาไปทอด ที่นี่เค้าไม่ได้ทอดนะ สูตรมันคงapply ไปเรื่อยๆกว่าจะถึงไทย แบบว่าเนื้อนุ่มมากๆๆ ระหว่างที่เราเพลิดเพลินกับอาหารและการถ่ายรูปเราก็ถูกสายตาชาวเยอรมันที่อยู่ในร้านจับจ่องแล้วตะโกนมาถามว่า "อาหารเยอรมันอร่อยมั้ย" เราก็ยิ้มกลับแล้วบอกว่า Oh very good แล้วคนกลุ่มนั้นก็ยิ้มกลับมาแล้วก็หันไปเม้าท์กันต่อ คงขำวิธีการกินของพวกเรามั้ง เหอๆ
พิกัดร้านคะ เผื่อใครมีโอกาสได้แวะไปเบอร์ลิน 52.517958,13.405699วันต่อมาเราเปลี่ยนบรรยากาศไปร้านอาหารญี่ปุ่นกันบ้างคะ เลิกงานแล้วเราก็นั่งรถไฟออกไปนอกเมือง ร้านนี้อยู่ไกลหน่อย แต่ประทับใจมากคะ ราคาอาหารก็ถูกรสชาติดีมาก อย่างจานที่สั่งมากินเองถ้าจำไม่ผิดประมาณ 5 ยูโรได้เทียบกับในปารีสแล้วถือว่าถูกคะ ราเมงหนึ่งชามในปารีสก็เฉียดๆ 10 ยูโรแล้วค้าา
แอบนึกในใจว่า รู้งี่เลือกเรียนศิลป์เยอรมันก็ดี ที่นี่ค่าครองชีพถูกกว่าปารีส ก็เป็นบทเรียนคะว่าควรศึกษาให้ดีว่าแต่ละเมืองเป็นแบบไหนค่าครองชีพที่นั้นเป็นอย่างไร ก่อนตัดสินใจมาเรียนคะหึๆ
พิกัดร้านคะ Ishin Japanese Deli, 52.460037,13.323473
ยังต่อกันด้วยอาหารเอเชีย จากตัวเลือกที่สองสาวให้มาคราวนี้เราเลือก Hotpot แบบไต้หัวน อันนี้เป็นบุฟเฟ่คนหละ 15 ยูโรคะ น้ำซุบมีให้เลือกสองแบบคะ แบบจืดกับเผ็ด แบบจืดนี่ออกแนวต้มจืดเลยคะ แบบเผ็ดก็จะมันมากเพราะเป็นน้ำมันพริกแต่อร่อยคะสีสันใช้ได้เลยทีเดียว น้ำจิ้มก็ไม่ได้รสชาติจัดจ้านแบบบ้านเราคะเป็นอารมณ์กระเทียมกับถั่วแล้วก็มีน้ำมันงา สองสาวจัดการสั่งให้ทุกอย่างคะ เค้าพูดภาษาจีนกันเราก็ใบ้รับประทานไปเลยคะช่วงนี้ เยอรมันก็ไม่ได้ จีนก็ไม่ได้..แม้หน้าจะให้ เราสั่งกันเยอะมากเพราะเป็นบุฟเฟ่เยอะจนเจ้าของร้านบอกว่าพอก่อนมั้ยเอามาดูก่อนมั้ยไม่พอค่อยสั่งเพิ่มเดี๋ยวกินไม่หมด ก็อิ่มกันกลับไปเต็มที่คะ ยังเหลือเมนูในตัวเลือกที่สองสาวหาให้เราอีก อย่างพึ่งจุกนะคะยังเหลืออีกหลายมื้อ
อีกวันเราก็สลับมากินอาหารเยอรมันคะก็ยังหนีไม่พ้น ไส้กรอกกับขาหมูเยอรมัน คราวนี้ได้มีโอกาสชิมเบียร์เยอรมันจริงๆจังๆ เพราะทุกทีจิบๆแล้วก็วางไม่ค่อยชอบเท่าไหรมันขม แต่วันนี้เพื่อนยุว่ามาถึงแล้วก็ต้องชิม แถวยังช่วยสั่งแบบเบาๆให้เป็นเบียร์ที่ผสมน้ำมะนาวคะบอกบริกรเพิ่มอีกว่าเอาแบบน้ำมะนาวเยอะหน่อยนะ แล้วเราก็เลือกจานหลักของใครของมันเดี๋ยวมาแบ่งกันชิม ทุกคนในโต๊ะสั่งเบียร์กันหมดกินไปคุยไปจนทุกคนน่าแดงมีเลือดฝาด อิ่มหน่ำสำราญกันแล้วเราก็เดินทางกลับที่พักกันคะดึกแล้ว เดินมาจนถึงสถานีรถไฟก็นึกขึ้นได้ว่า เอ๊ะ มือถือหละเอาไว้ไหน หาในกระเป๋าเสื้อ jacket ก็ไม่เจอ ในกระเป๋ากางเกงก็ไม่มี ซวยแล้วมือถือหาย ระหว่างนั้นก็เดินมาจนถึงสถานีรถไฟ พอสำรวจแน่ใจแล้วว่าไม่มี หายชัวร์ก็หันไปบอกเพื่อนว่า ทุกคนเราทำมือถือหาย ขอเดินกลับไปหาก่อนนะ รออยู่นี่หละ เพื่อนๆก็บอกว่าไม่เป็นไร ไปช่วยกันหา ก็เดินมองตามทางที่เดินผ่านเมื่อกี้ ก็ไม่เจอ เพื่อนมาถามว่ามีใครมาเดินชนรึเปล่าโดนฉกไปรึป่าว ซึ่งก็ไม่มีไม่ได้ไปเบียดกับใคร เดินย้อนกลับมาจนถึงร้าน เลยเค้าไปถามเค้าว่ามีมือถือทำตกไว้มั้ย ทางร้านก็บอกว่าไม่มีนะ เพื่อนๆก็ยังช่วยกันก้มหาแถวใต้โต๊ะที่เรานั่งกันเมื่อกี้ก็ไม่มี หาเท่าไหรก็ไม่เจอ ในใจก็คิดว่าชั่งมันเถอะของมันจะหายทำไงได้แค่เสียดายพึงมาได้ไม่กี่เดือนแล้วจะเอาโทรศัพท์ไหนใช้ เพื่อนก็หันมาถามย้ำว่าหาดีแล้วใช่มั้ยไม่ได้อยู่ในกระเป๋าเสื้อน่ะ ก็ตอบไปว่าไม่มีหาแล้วเนี่ย แล้วก็ตบๆกระเป๋าเสื้อที่หน้าอก ....อุตะ แหๆ อยู่นี่ เจอแล้ววววว อยู่ในกระเป๋าเสื้อ ยัดไปตอนไหนอ่าทำไมจำไม่ได้........ เพื่อนก็แบบว่าเออดีแล้วที่ไม่หาย ยูเมาช่ายมั้ยเนี่ย... ไม่เมาใครเมา แค่ความจำหายไปสามวิเอง
เดินตามทัวร์เด็กน้อย, ทางเข้าเมืองก่อนเดินไปชม พระราชวัง, สถานีรถไฟที่ลงเปลี่ยน |
พระราชวัง Sans Souci (แปลเป็นไทยก็ พระราชวังไกลกังวล) |
คืออย่างที่บอกว่าไม่มีข้อมูลอะไรมากเกี่ยวกับสถานที่แต่ละที่ๆไปเที่ยวคะ เอาเป็นว่าพระราชวังที่เราไปนั้นก็จะมีวังอยู่ใกล้ๆ กันหลายๆ วังคะ เดินถึงกันได้ แต่ก็ไกลไม่ช่ายน้อย บางทีก็ต้องใช้บริการรถเมล์คะ เราใช้เวลาทั้งวันเพื่อเที่ยวที่นี่คะ แล้วจากนั้นตอนเย็นก็กลับเข้าไปในเมืองไปดูการแสดงแสงสีเสียงสามมิติคะ สวยมาก ซึ่งช่วงที่เราไปมีการจัดแสดงไฟแบบนี้อยู่หลายจุดทั่วเบอร์ลินคะ ส่วนวันสุดท้ายเราก็ตื่นแต่เช้าไปเก็บ shot ตอนกลางวันของที่ๆเราเคยได้แต่ผ่านไปตอนกลางคืนคะ
Kebab, สองสาวไกด์ของเราใน hostel |
ก็จะลากลับด้วย เคบับ Kebab ที่แสนอร่อยซึ่งหลังจากนั้นไม่มีอันไหนอร่อยเท่าที่กินที่เบอร์ลินเลยคะ