Tuesday, August 27, 2013

บทหก: เบอร์ลิน เยอรมัน Berlin

เบอร์ลิน หรือ แบคร์แลงในภาษาฝรั่งเศส เป็นอีกประเทศที่ไม่มีในหัวว่าจะไป แต่ที่ต้องไปเพราะหน้าที่ ไปเป็นแรงงานต่างด้าวช่วยอาจารย์จัดประชุม เราแอบสืบมาเป็นอย่างดีว่าหลังจากเสร็จประชุมจะถูกส่งกลับมาปารีสทันที ถ้าไม่ต่อรองกับอาจารย์ก็จะไม่ได้เที่ยวอย่างแน่นอน เพราะกว่าจะเลิกประชุมในแต่ละวันก็มืดค่ำไม่ได้เที่ยวที่ไหนแล้ว ดังนั้นเราจึงนัดแนะกับเพื่อนๆแรงงานต่างด้าวด้วยกันเพื่อขอกลับวันอาทิตย์ (Conference จบวันพฤหัส เราก็มีเวลาเที่ยว ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์) แต่เจรจาไปมาก็อยู่ได้ถึงแค่วันเสาร์ ก็ยังดีคะ ทริปนี้มีเพื่อนร่วมชะตากรรมด้วยกัน 7 คน เป็นเด็กเอเชียทั้งหมด เวียตนาม 2 ไต้หวัน 2 เนปาล 1 ไทย 2 (รวมตัวเองด้วย) ที่มาเรียนโปรแกรมเดียวกัน เรียนด้วยกันตลอดหนึ่งเทอม ทั้งห้องมีแต่คนเอเชีย จนสงสัยว่าตูมาฝรั่งเศสเพื่อ!! แล้วจา parler francais (พูดฝรั่งเศส) กะใคร -_-' 


ทริปนี้เป็นลูกทัวร์คะมีสองสาวไต้หวันเป็นหัวหน้าทัวร์พากิน พาเที่ยว ทริปนี้เราเบิกค่าอาหารได้หมดคะก็เลยกินกันอลังการจัดเต็มมาไว้ดูกัน สองสาวเค้ามีไกด์บุ๊คดีคะ เห็นบอกว่าเป็นหนังสือที่แปลมากจากภาษาญี่ปุ่นอีกที เธอมีสำหรับหลายประเทศมาก เที่ยวเยอะและเชี่ยวชาญกว่าเราเป็นไหนๆ รู้หมดช่วงไหนมีโปรโมชันตั๋วรถไฟ ช่วงไหนที่ไหนมีเทศกาลอะไรไม่เคยพลาด อยากจะไปร่วมทริปด้วยจริงๆแต่จองไม่เคยทันเค้าคะ เค้าจองและว่างแผนล่วงหน้าเป็นเดือนๆ เป็น travel planner ตัวยงจริงๆ 

จากปารีสไปเบอร์ลินเรานั่ง Low cost airline ไปคะ easyjet นั้นเอง สนามบินหลักๆในปารีสก็มี Charles de Gaulle กับ Orly คะ ซึ่ง Orlyก็จะคล้ายๆ ดอนเมืองบ้านเราเอาไว้บิน domestic คือออกไปเมืองอื่นในฝรั่งเศส หรือประเทศอื่นใน Schengen คะ จากมหาลัยที่อยู่ไป Orly ก็ต้องนั่งรถไฟแล้วไปต่อบัส แต่ถ้ามาจากปารีสมีรถไฟยิงยาวมาเลยคะ แต่ไม่เคยขึ้น 

ทริปนี้อาจจะไม่มีข้อมูลอะไรจะเล่าให้ฟังมากนะคะ เพราะไม่ได้หาข้อมูลอะไรไปเลยเราฝากชีวิตไว้กะสาวๆไต้หวันคะ เหอๆ ถึงเบอร์ลินเราก็นั่งรถไฟจากสนามบินเข้าไปในเมืองคะ ใช้เวลานานเหมือนกันกว่าจะถึง 30-45 นาทีได้ ที่พักเราอยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟมากนักคะ ร่วมถึงโรงแรมที่จัดประชุมด้วย มาถึงเราก็จัดมื้อแรกกันเลยคะ กินฟรีอยู่แล้วชิมไส้กรอกเยอรมันก่อนคะเบาๆ Currywurst จากนั้นก็เข้าที่พักเก็บของแล้วค่อยออกไปสำรวจเมืองกัน ถึงจะเป็นแรงงานต่างด้าวแต่ที่พักก็ดูดีที่สุดแล้วในบรรดาที่ไปพักมา ทางผู้จัดจองโรงแรมให้เราเป็นอย่างดีคะ แล้วเดี๋ยวค่อยดูคืนสุดท้ายที่เราพักต่างกันสิ้นเชิงหุๆ

เก็บข้าวของเรียบร้อยเราก็ออกไปสำรวจเมืองคะ มาถึงเบอร์ลินแล้วแน่นอนต้องไปดูกำแพงเอบร์ลินสิ ร่องรอยประวัติศาสตร์ที่สำคัญของโลก กำแพงที่แบ่งกันเยอรมันออกเป็นสองส่วน ทุกวันนี้กลายเป็นงานศิลปะที่สื่อถึงสันติภาพ และอิสระภาพ เราไปถึงก็ใกล้มืดแล้วคะ เลยถ่ายรูปได้ไม่มาก มองไม่ค่อยเห็น

 พูดถึงรถไฟที่เบอร์ลิน ราคาถูกกว่าที่ปารีสอีกคะ แล้วที่นี่เค้าไว้ใจพลเมืองเค้ามาก สถานีรถไฟไม่มีประตูกันทางเข้า มีแค่เครื่อง validate ตั๋วอยู่ตรงชาญชลา คนตรวจตั๋วบนขบวนรถก็ไม่ค่อยมีแปลกดี

ส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าเบอร์ลินเป็นเมืองแข็งๆคะ เพราะมีทั้งสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ปนกับตึกสมัยเก่าที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ แถมสีมันก็เหมือนไม่ค่อยได้รับการบำรุงรักษาเท่าไหร เทียบกับในปารีสแล้วย่านที่เป็นตึกทรงเก่าก็จะถูกเก็บรักษาไว้คะ ส่วนที่เป็นตึกสมัยใหม่ก็จะอยู่แยกไว้อีกย่านหนึ่ง แล้วสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆก็ได้รับการดูแลอยู่เสมอ แต่ก็อย่างว่าคะได้รับการดูแลดีค่าเข้าชมก็เลยแพงกว่าที่เยอรมันเกือบเท่าตัว ก็อย่างพิพิฑภัณที่เราไปเที่ยวค่าเข้าแค่ 5 ยูโรแต่ Musee du Louvre ที่ปารีส 11 ยูโรหนะ (แต่ความอลังการต่างกันเทียบกันไม่ได้อยู่ดี) เอาเป็นว่า เป็นไอเดียคราวๆก็แล้วกันคะ เพราะแต่ละที่ก็มีเสน่ห์ของตัวเอง แม้จะรู้สึกว่าเบอร์ลินเป็นเมืองแข็งๆ แต่เค้าก็แอบมีความน่ารักไว้นะคะ เช่นไฟข้ามถนนปกติที่เราเห็นก็เป็นรูปคนเฉยๆ แต่ที่นี่ไม่เหมือนใครคะ เป็นรูปคนใส่หมวกทำท่ากำลังเดินข้ามน่ารักเชียวคะ รีบคว้ากล้องมาถ่ายรูปเก็บไว้ให้ทุกคนดูก่อนมัวแต่ถ่ายรูปข้ามถนนเกือบไม่ทัน อีกอย่างที่เจอบ่อยมากและเป็นเอกลักษณ์ของเบอร์ลินก็คงเป็นเศษขวดเบียร์ที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด สมกับเป็นเมืองที่น้ำเปล่าแพงกว่าเบียร์จริงๆคะ ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็มี

โอ้ววลืมรูปกำแพงเบอร์ลิน

เราอยู่ที่นี่ร่วมหนึ่งอาทิตย์ได้คะ ออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้าเจ็ดโมงเพื่อไปเตรียมจัดประชุมจนถึงค่ำราวๆทุ่มได้ ซึ่งส่วนใหญ่หลังเลิกงานเราก็จะไปหาอะไรอร่อยๆกินคะ มีบางวันที่กินขนมที่งานประชุมจนอิ่มไม่ได้ไปกินข้าวกันก็มี เพราฉะนั้นจากนี้ไปจะ รีวิวร้านอาหารที่เราไปกันคะ โดยคนที่แนะนำและพาเราก็ไปก็ไม่พ้นสองสาวไต้หวันคะ

ร้านแรกที่เธอพาเราไปซื่อว่า Mutter Hoppe เธอบอกว่าเป็นร้านต้นตำหรับอาหารเยอรมันเลยคะ อยู่ไม่ไกลจากที่เราจัดประชุมด้วย ร้านนี้บรรยากาศตกแต่งน่ารักดีคะ เราก็ยังติดนิสัยคนเอเชียคะที่สั่งอาหารแล้วมาแชร์กินด้วยกัน เราเลือกสั่งจานใหญ่ มาสามจานแล้วก็สลัดอีกหนึ่ง เมนูที่เราคิดเหมือนกันและอยากชิมก็คือขาหมูเยอรมันคะ ซึ่งเอาจริงไม่เคยรู้ว่าคำว่าขาหมูภาษาอังกฤษมันเรียกว่า Pork hock เราก็ดูเมนูซึ่งเป็นภาษาเยอรมัน ไม่มีภาพประกอบอีก เราก็หาแต่คำว่า Pork leg ตลกมากไม่ว่าจะชาติไหนในเอเชียก็เรียก Pork leg เหมือนกันหมด จนต้องถามคนรับ order ว่าอยากกินแบบนี้มันคือเมนูอะไร จำไม่ได้จริงๆว่าในภาษาเยอรมันมันเรียนกว่าอะไร แต่ google มาแล้วคะมันคือ Schweinshaxe ซึ่งมันก็คือ Pork hock served grilled and crispy with Sauerkraut or boiled as Eisbein ขาหมูเยอรมันที่เสิรฟกับผักกาดดองแล้วก็อะไรไม่รู้คล้ายๆมันบดคะ เราสั่งสิ่งนี้มาสองจานแล้วก็ อีกจานเป็นหมูกรอบ 
อร่อยมั้ยเหรอคะมาถึงถิ่นแล้วก็ต้องบอกว่าอร่อยมากคะไม่เหมือนที่เมืองไทยที่บ้างร้านเอาไปทอด ที่นี่เค้าไม่ได้ทอดนะ สูตรมันคงapply ไปเรื่อยๆกว่าจะถึงไทย แบบว่าเนื้อนุ่มมากๆๆ ระหว่างที่เราเพลิดเพลินกับอาหารและการถ่ายรูปเราก็ถูกสายตาชาวเยอรมันที่อยู่ในร้านจับจ่องแล้วตะโกนมาถามว่า "อาหารเยอรมันอร่อยมั้ย" เราก็ยิ้มกลับแล้วบอกว่า Oh very good แล้วคนกลุ่มนั้นก็ยิ้มกลับมาแล้วก็หันไปเม้าท์กันต่อ คงขำวิธีการกินของพวกเรามั้ง เหอๆ 
พิกัดร้านคะ เผื่อใครมีโอกาสได้แวะไปเบอร์ลิน 52.517958,13.405699

วันต่อมาเราเปลี่ยนบรรยากาศไปร้านอาหารญี่ปุ่นกันบ้างคะ เลิกงานแล้วเราก็นั่งรถไฟออกไปนอกเมือง ร้านนี้อยู่ไกลหน่อย แต่ประทับใจมากคะ ราคาอาหารก็ถูกรสชาติดีมาก อย่างจานที่สั่งมากินเองถ้าจำไม่ผิดประมาณ 5 ยูโรได้เทียบกับในปารีสแล้วถือว่าถูกคะ ราเมงหนึ่งชามในปารีสก็เฉียดๆ 10 ยูโรแล้วค้าา
แอบนึกในใจว่า รู้งี่เลือกเรียนศิลป์เยอรมันก็ดี ที่นี่ค่าครองชีพถูกกว่าปารีส ก็เป็นบทเรียนคะว่าควรศึกษาให้ดีว่าแต่ละเมืองเป็นแบบไหนค่าครองชีพที่นั้นเป็นอย่างไร ก่อนตัดสินใจมาเรียนคะหึๆ

พิกัดร้านคะ Ishin Japanese Deli, 52.460037,13.323473




ยังต่อกันด้วยอาหารเอเชีย จากตัวเลือกที่สองสาวให้มาคราวนี้เราเลือก Hotpot แบบไต้หัวน อันนี้เป็นบุฟเฟ่คนหละ 15 ยูโรคะ น้ำซุบมีให้เลือกสองแบบคะ แบบจืดกับเผ็ด แบบจืดนี่ออกแนวต้มจืดเลยคะ แบบเผ็ดก็จะมันมากเพราะเป็นน้ำมันพริกแต่อร่อยคะสีสันใช้ได้เลยทีเดียว น้ำจิ้มก็ไม่ได้รสชาติจัดจ้านแบบบ้านเราคะเป็นอารมณ์กระเทียมกับถั่วแล้วก็มีน้ำมันงา สองสาวจัดการสั่งให้ทุกอย่างคะ เค้าพูดภาษาจีนกันเราก็ใบ้รับประทานไปเลยคะช่วงนี้ เยอรมันก็ไม่ได้ จีนก็ไม่ได้..แม้หน้าจะให้ เราสั่งกันเยอะมากเพราะเป็นบุฟเฟ่เยอะจนเจ้าของร้านบอกว่าพอก่อนมั้ยเอามาดูก่อนมั้ยไม่พอค่อยสั่งเพิ่มเดี๋ยวกินไม่หมด ก็อิ่มกันกลับไปเต็มที่คะ ยังเหลือเมนูในตัวเลือกที่สองสาวหาให้เราอีก อย่างพึ่งจุกนะคะยังเหลืออีกหลายมื้อ

อีกวันเราก็สลับมากินอาหารเยอรมันคะก็ยังหนีไม่พ้น ไส้กรอกกับขาหมูเยอรมัน คราวนี้ได้มีโอกาสชิมเบียร์เยอรมันจริงๆจังๆ เพราะทุกทีจิบๆแล้วก็วางไม่ค่อยชอบเท่าไหรมันขม แต่วันนี้เพื่อนยุว่ามาถึงแล้วก็ต้องชิม แถวยังช่วยสั่งแบบเบาๆให้เป็นเบียร์ที่ผสมน้ำมะนาวคะบอกบริกรเพิ่มอีกว่าเอาแบบน้ำมะนาวเยอะหน่อยนะ แล้วเราก็เลือกจานหลักของใครของมันเดี๋ยวมาแบ่งกันชิม ทุกคนในโต๊ะสั่งเบียร์กันหมดกินไปคุยไปจนทุกคนน่าแดงมีเลือดฝาด อิ่มหน่ำสำราญกันแล้วเราก็เดินทางกลับที่พักกันคะดึกแล้ว เดินมาจนถึงสถานีรถไฟก็นึกขึ้นได้ว่า เอ๊ะ มือถือหละเอาไว้ไหน หาในกระเป๋าเสื้อ jacket ก็ไม่เจอ ในกระเป๋ากางเกงก็ไม่มี ซวยแล้วมือถือหาย ระหว่างนั้นก็เดินมาจนถึงสถานีรถไฟ พอสำรวจแน่ใจแล้วว่าไม่มี หายชัวร์ก็หันไปบอกเพื่อนว่า ทุกคนเราทำมือถือหาย ขอเดินกลับไปหาก่อนนะ รออยู่นี่หละ เพื่อนๆก็บอกว่าไม่เป็นไร ไปช่วยกันหา ก็เดินมองตามทางที่เดินผ่านเมื่อกี้ ก็ไม่เจอ เพื่อนมาถามว่ามีใครมาเดินชนรึเปล่าโดนฉกไปรึป่าว ซึ่งก็ไม่มีไม่ได้ไปเบียดกับใคร เดินย้อนกลับมาจนถึงร้าน เลยเค้าไปถามเค้าว่ามีมือถือทำตกไว้มั้ย ทางร้านก็บอกว่าไม่มีนะ เพื่อนๆก็ยังช่วยกันก้มหาแถวใต้โต๊ะที่เรานั่งกันเมื่อกี้ก็ไม่มี หาเท่าไหรก็ไม่เจอ ในใจก็คิดว่าชั่งมันเถอะของมันจะหายทำไงได้แค่เสียดายพึงมาได้ไม่กี่เดือนแล้วจะเอาโทรศัพท์ไหนใช้ เพื่อนก็หันมาถามย้ำว่าหาดีแล้วใช่มั้ยไม่ได้อยู่ในกระเป๋าเสื้อน่ะ ก็ตอบไปว่าไม่มีหาแล้วเนี่ย แล้วก็ตบๆกระเป๋าเสื้อที่หน้าอก ....อุตะ แหๆ อยู่นี่ เจอแล้ววววว อยู่ในกระเป๋าเสื้อ ยัดไปตอนไหนอ่าทำไมจำไม่ได้........  เพื่อนก็แบบว่าเออดีแล้วที่ไม่หาย ยูเมาช่ายมั้ยเนี่ย... ไม่เมาใครเมา แค่ความจำหายไปสามวิเอง

เดินตามทัวร์เด็กน้อย, ทางเข้าเมืองก่อนเดินไปชม พระราชวัง,
สถานีรถไฟที่ลงเปลี่ยน
เช้าวันศุกร์ วันนี้ได้เที่ยวตอนกลางวันแล้วคะ ก่อนอื่นก็ย้ายที่พักกันก่อนคืนนี้เราจะนอนhostelกันคะ คืนหละ 15ยูโรเท่านั้น นอนด้วยกัน 7 คนเลยคะ เอากระเป๋าไปฝากเรียบร้อย เราก็ออกไปนอกเมืองไปชมพระราชวังเก่า ซึ่งที่ๆเราจะไปอยู่ไกลออกไปจากโซนที่เราซื้อตั๋วแบบรายสัปดาห์ไว้คะก็ต้องไปซื้อตั๋วเพิ่มอีก ระหว่างที่นั่งรถไฟก็มีประกาศเป็นภาษาเยอรมันแน่นอนฟังไม่รู้ หันไปมองหน้ากับเพื่อนแล้วก็เอิ่มม ก็กะว่าถ้าเค้าลงกันหมดเราก็ลงตาม แต่แล้วคุณป้าที่นั่งข้างๆ ก็หันมาถามว่ารู้มั้ยเค้าประกาศว่าอะไร ก็ส่ายหัวกลับไปคะว่าไม่รู้ คุณป้าก็เลยบอกว่าเนี่ยยูจะไปพระราชวังช่ายมั้ยเดี๋ยวถึงสถานีหน้าต้องลงนะเพราะขบวนนี้ไปไม่ถึงแล้วยืนรอที่ชาญชลาเดิมรอรถขบวนถัดไป ณ วินาทีนั้นโอ้วววรู้สึกดีใจมาก ประทับใจด้วยไม่เคยเจออะไรแบบนี้ในปารีส คุณป้าใจดีจุง เราก็เลยถือโอกาสชวนคุณป้าคุยต่อจนถึงสถานีที่เราต้องลง มิตรภาพดีๆ ที่เจอระหว่างทาง ก็เป็นความทรงจำที่น่าประทับใจนะคะ

พระราชวัง Sans Souci (แปลเป็นไทยก็ พระราชวังไกลกังวล)

คืออย่างที่บอกว่าไม่มีข้อมูลอะไรมากเกี่ยวกับสถานที่แต่ละที่ๆไปเที่ยวคะ เอาเป็นว่าพระราชวังที่เราไปนั้นก็จะมีวังอยู่ใกล้ๆ กันหลายๆ วังคะ เดินถึงกันได้ แต่ก็ไกลไม่ช่ายน้อย บางทีก็ต้องใช้บริการรถเมล์คะ เราใช้เวลาทั้งวันเพื่อเที่ยวที่นี่คะ แล้วจากนั้นตอนเย็นก็กลับเข้าไปในเมืองไปดูการแสดงแสงสีเสียงสามมิติคะ สวยมาก ซึ่งช่วงที่เราไปมีการจัดแสดงไฟแบบนี้อยู่หลายจุดทั่วเบอร์ลินคะ ส่วนวันสุดท้ายเราก็ตื่นแต่เช้าไปเก็บ shot ตอนกลางวันของที่ๆเราเคยได้แต่ผ่านไปตอนกลางคืนคะ

Kebab, สองสาวไกด์ของเราใน hostel







ก็จะลากลับด้วย เคบับ Kebab ที่แสนอร่อยซึ่งหลังจากนั้นไม่มีอันไหนอร่อยเท่าที่กินที่เบอร์ลินเลยคะ 



























Sunday, August 25, 2013

บทห้า: ก้าวออกจากฝรั่งเศสไปเบลเยี่ยม

เอาหละคะได้ฤกษ์ออกนอกประเทศกันบ้างหลังจากเที่ยวที่ไฮไลท์ๆ ของฝรั่งเศสไปแล้ว เดิมทีก่อนมาตั้งใจจะไปแค่ไม่กี่ประเทศคะ คือเบลเยี่ยม อยากไปกินวาฟเฟล, เนเธอร์แลนด์ อยากไปดูประตูที่เค้าเอาไว้กั้นน้ำทะเลคะ เพราะประเทศนี้มีพื้นที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลก็เลยอยากเห็น แล้วสุดท้ายก็อิตาลีไปตามรอยดาวินชี่โค้ด ไว้มาตามดูกันคะว่า mission complete มั้ย

เบลเยี่ยมเป็นประเทศเล็กๆ ติดกับฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิกร์ และเยอรมัน ภาษาที่ใช้ก็แล้วแต่เมืองคะ แต่เมืองหลวง Brussel หรือ Bruxelles พูดฝรั่งเศสคะ ที่เหลือเค้าพูดภาษาอะไรไม่รู้ แต่เราพูดอังกฤษหรือฝรั่งเศสกับเค้าได้คะ 

การเดินทางไปเบลเยี่ยมก็ไปได้ทั้ง รถไฟความเร็วสูง (TGV) หรือไม่ก็รถบัสคะ รถไฟที่วิ่งระหว่าง Paris-Brussel ก็มีของ Thalys ซึ๋งเป็นของเบลเยี่ยม แล้วก็ TGV ของฝรั่งเศสเองคะ ใช้เวลาเดินทางเพียง 2 ชั่วโมงคะ ค่าตั๋วถ้าช่วงโปรโมชั่นก็ ราวๆ 20 กว่ายูโรได้คะ แต่ถ้าไม่ช่ายช่วงลดราคานี่ปาไปเกือบ 60 ยูโรคะโดยเฉพาะเสาร์อาทิตย์ก็ยิ่งแพงขึ้นไปอีก


แน่นอนคะ แพงขนาดนี้เราไม่ไปอยู่แล้ว เราก็เลยต้องหาอีกทางเลือกนั้นคือรถบัสคะ รถบัสของฝรั่งเศสก็มี euroline คะ ราคาราวๆ 30-40 ยูโรคะ อีกอันก็คือ Megabus ราคาถ้าจองล่วงหน้าก็แค่ 5 ปอน์ดเท่านั้นคะ ถ้าจองใกล้ๆ ก็ 19 ยูโรใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงคะ ถ้าพูดถึงคุณภาพบริการของรถบัสขอบอกคำเดียวว่า  นครชัยแอร์บ้านเราดีกว่ามาก มากๆจริงๆคะ (บ้านเราก็มีดีนะเออ) คือพนักงานเค้ามีแค่คนเดียวคะคือคนขับรถ คนเดียวทำทุกอย่าง เบาะปรับเอนได้นิดเดียว ไม่มีบริการอะไรทั้งนั้นบนรถคะ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะ euroline หรือ megabus ก็ไม่ต่างกันคะ แล้วจะจ่ายแพงทำไมเรานั่ง megabus ดีกว่า แต่ของถูกละดีไม่มีในโลกคะ megabus มีข้อเสียที่ว่าเวลาไม่ค่อยโอเคคะคือออกจาก Paris สายกว่าจะไปถึง Brussel ก็บ่ายแก่ๆได้เที่ยวน้อยคะ ก็ต้องเลือกเอาตามความเหมาะสมแล้วก็ทริปของแต่ละคนคะว่าจะจัดทริปยังไง 

สำหรับครั้งนี้เราจะไปด้วย euroline แล้วกลับด้วย Megabus ทีนี้ต้องหาข้อมูลคะว่าไปเที่ยวที่ไหนบ้างไปเบลเยี่ยมต้องไปดูอะไร แหล่งข้อมูลหลักก็ไม่พ้น pantip.com ห้อง blueplanet หาข้อมูลแล้วก็มาวางทริปกันเลยคะ เนื่องจากว่าออกนอกฝรั่งเศสแน่นนอนแต่ละประเทศก็มีระบบขนส่งของตัวเองคะ ต้องศึกษาก่อนคะ แล้วก็พบว่า "โหยทำไมการรถไฟประเทศนี้ถูกกว่าฝรั่งเศสอีก"   รถไฟวิ่งออกไปเมืองอื่นไป-กลับแค่ 10กว่ายูโรเอง ฝรั่งเศสแพงกว่าเยอะคะ ประมาณเท่าหนึ่งได้ ก่อนที่จะลงลึกบอกแพลนก่อนคะว่าจะไปไหน

ด้วยเวลาสองวันหนึ่งคืน เราจะไปกันสี่เมืองคะ เหอๆออกแนวโลภอีกแล้ว ไหนๆจะไปทั้งทีก็ไปให้คุ้มคะ ไม่รู้จะได้มีโอกาสไปอีกมั้ย จากปารีสมาถึง Brussels เราจะเที่ยวกันก่อนคะแล้วเช้าอีกวันค่อยไปอีกสามเมืองที่เหลือนั้นคือ Gent, Brugge แล้วก็ Antwerpen  ห็นแพลนแล้วก็มาดูวิธีเดินทางคะ รถไฟของ เบลเยี่ยมราคาไม่แพงคะ ถ้าไปกับเพื่อนหลายคนมันจะมีตั๋วแบบเหมา 10 เที่ยวคะ ค่อนข้างคุ้มคะ แต่เนื่องจากทริปนี้ไปกันแค่สองคน บวกลบคูณหารดูแล้ว ซื้อเป็นเที่ยวไปจะคุ้มกว่า แล้วเบลเยี่ยมก็ดีตรงที่ว่าบางเส้นทางที่เราไป เช่นเราจะไป Brugge เราซื้อตั๋ว Brussel-Brugge เราสามารถแวะลง Gent ได้คะ ภายในวันเดียวกันนะ

เอาหละคะ ได้เวลาเที่ยวเบลเยี่ยมจริงๆแล้ว บรัสเซล หรือ บรุ๊คแซล ในภาษาฝรั่งเศส มีจัตุรัสอยู่กลางเมืองทีได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เก่าแก่แล้วบางส่วนก็ประดับด้วยทองคำ รถบัสที่เรานั่งไปจะจอดใกล้ๆ สถานี้รถไฟคะซึ่งเชื่อมกับรถไฟใต้ดินที่จะพาเราเข้าไปในตัวเมือง แต่ด้วยความที่ใจกลางเมืองเป็นมรดกโลกรถไฟใต้ดินไปไม่ถึงคะ สถานีก็จะอยู่ห่างๆ หน่อยต้องเดินเข้าไปอีก เราเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่พักก่อน เพราะยังเช็คอินไม่ได้ ฝากกระเป๋าเสร็จก็ออกไปเดินกันเลยคะ อ้อ ตั๋วรถไฟใต้ดินก็ไม่แพงคะ 2 ยูโรเท่านั้นใช้ได้ทั้งวัน แต่รถไฟใต้ดินที่นี่ยังใหม่อยู่คะมีสายไม่เยอะมากเหมือนปารีส คนก็ไม่แออัดเท่า

นี่หละคะ Grand Place ที่ Brussels เมืองอื่นๆในเบลเยี่ยม ก็มีจัตุรัสกลางเมืองแบบนี้เหมือนๆกันคะ ไว้เดี๋ยวพาไปดู อย่างที่บอกว่ามาเบลเยี่ยมเพราะอยากกินวาฟเฟลได้เวลาหิวแล้วไปหาขนมกินกันดีกว่า

วาฟเฟลมีให้เลือกหลายแบบคะ แบบชิ้นหละ1 ยูโรแล้วใส่ topping อะไรก็บวกราคาเพิ่มไปคะ กับแบบที่เราไปนั่งกินที่ร้านก็จะแพงขึ้นมาหน่อย แต่อร่อยกว่าเยอะเลยกรอบนอกนุ่มใน  พูดแล้วก็อยากกินอีก
อีกอย่างที่น่ารักของ Brussels ก็คือการ์ตูนตินๆ ที่อยู่ตามผนังตึกคะ ก็บ้านเกิดคนเขียนเรื่องตินๆ อยู่ที่นี่นิค่ะ เค้าก็เอามาเป็นจุดขาย มีติดอยู่ตามตึกทั้งหมด 8-9 จุดมีแผนที่บอกด้วย เรากะเพื่อนก็บ้าจี้ไปตามจนครบทุกจุด ก็เป็นอีกกิจกรรมให้ทำ เรามาเที่ยวเองก็จัดทริปได้ตามใจที่อยากจะไปเหนื่อยก็พักคะ

ยังไม่หมดนะ Brussels ยังมีอีกหลายอย่างที่ให้ดูคะ ก็รูปปั้น Manneken Pis ที่เป็นเด็กยื่นฉี่อะ ตัวเล็กนิดเดียวคุนรุมเต็มเลย จริงๆนะทีแรกนึกว่าตัวใหญ่ เห็นแล้วเอิ่ม มุงอะไรกัน เค้ามุงเราก็มุงคะ 55

เอาไฮไลท์ๆแล้วกันคะเหลืออีกตั้ง 3 เมืองเดี๋ยวจะหมดแรงอ่านกันก่อน สุดท้ายก็เป็น Atomium เป็นอาคารที่สร้างให้มีลักษณะเหมือนโครงสร้างอะตอมคะ เราเลือกไปตอนกลางคืนเพราะคิดว่าไฟน่าจะสวย



Saturday, August 24, 2013

บทแรก: ที่มาที่ไปก่อนออกเดินทาง

ไม่รู้ว่า blog นี้จะมีประโยชน์กับใครบ้าง แต่มีประสบการณ์มากมายที่อยากแบ่งปัน 
ขอท้าวความก่อนถึงที่มาที่ไปว่า จากเด็กคนหนึ่งที่เรียนไม่เก่งเอาซะเลย ติด0ตลอดโดยเฉพาะภาษาอังกฤษจะมีความฝันอยากไปยุโรป ก็เพราะไม่เก่งอังกฤษนั้นหละเลยไปเอาดีด้านภาษาฝรั่งเศส และการที่เรียนภาษานี้นานๆ มันก็ถูกปลูกฝังว่าซักวันจะไปเหยีบให้ได้ปารีส!! แต่บ้างครั้งความจริงมันก็โหดร้าย

ใช้เวลานานกว่าหกปีหลังจากจบป.ตรี มุนษย์ฝรั่งเศส สมัครทุนนับครั้งไม่ท้วน เสียใจแล้วเสียใจอีก ในที่สุดวันของเราก็มาถึง แต่เส้นทางที่ได้มาก็ช่างแตกต่างกับที่ฝันไว้สุดๆ 

ตั้งแต่เรียนจบวางแผนว่าจะหาทุนเรียนต่อโทที่ต่างประเทศให้ได้ ประเทศเดียวเท่านั้นที่จะไปคือฝรั่งเศสเรียนซักสองปี แล้วกลับมาทำงาน ความฝันก็ดูดีเสมอ ผิดกับความเป็นจริงที่แสนจะลำบาก ด้วยพื้นฐานทางครอบครัวที่มีต้นทุนไม่สูงนัก ลูกแม่ค้าธรรมดาที่พ่อแม่ส่งเรียนป.ตรีจบก็หรูแล้ว ที่เหลือที่ฝันก็ต้องฝ่าฟันไปเอง จบมาทำงานได้ปีสองปี ก็ตั้งเป้าว่าอีกสองปีข้างหน้าจะต้องไปเรียนต่อให้ได้ หรือไม่ก็หางานอื่นทำที่ได้เงินเยอะกว่านี้ ระหว่างที่ทำงานก็ติดตามข่าวทุนตลอดช่วงนั้นทุนทางฝั่งยุโรปที่มาแรงคือ Erasmus Mundus ที่ออกให้ทุกอย่างเราไม่ต้องเสียอะไรเลย โดยโปรแกรมมีข้อกำหนดว่าจะต้องเรียนอย่างน้อยในสองประเทศ จากมหาลัยที่ร่วมโครงการอยู่ ซึ่งก็แล้วแต่สาขาว่าจะมีมหาลัยอะไรบ้าง ประเทศอะไร

แน่นอน ประเทศที่มองหาก็คือฝรั่งเศส requirement พื้นฐานของโปรแกรมนี้ก็คือ คะแนน TOFEL (550 ) หรือ IELS (6.5) อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่าเรียนภาษาอังกฤษแย่มากตกทุกเทอมแล้วTOFEL 550 หรือ 80 สำหรับ internet base จะทำได้ๆไงเนี่ย แต่เมื่อมีฝันก็ต้องไปให้ถึง สิ่งเดียวที่บอกกับตัวเองคือ ในเมือมันเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางก็จงทำลายมันซะอย่าให้มันมากำหนดชีวิตเรา ใช้เวลาอยู่หนึ่งปีที่ติวเข้มจริงๆ แต่ก่อนหน้านี้มันก็เริ่มพัฒนามาบ้างแต่ไม่ถึงขั้นหรอกนะคะได้แค่ snake snake fish fish
หลังจากที่เตรียมตัวอย่างหนัก นั่งทำตัวอย่างข้อสอบทั้งของ Barrons, Cambridge, etc. ก็บอกตัวเองว่าพร้อมหละไปสอบให้มันรู้ไป ซึ่งก็ไม่เสียแรงที่ทุ่มเท คะแนนที่ได้กลับมาคือ 79 TOFEL IBT สอบเมื่อปี 2008 ซึ่งถือว่าพอใจมากและดีใจมากที่ในที่สุดก็ทำได้ อยากจะให้กำลังใจหลายๆคนที่มีปัญหาว่าภาษาอังกฤษยากทำไม่ได้ เชื่อเถอะคะว่าไม่มีอะไรเกินความพยายาม คนเราทุกคนพัฒนากันได้คะสู้ๆ ขอบ่นนิสนึงว่า ใครว่าโอกาสทางการศึกษาเท่าเทียม ดูทุนทั้งหลายที่ให้สิคะมี requirement นี้ทุกอัน แล้วเด็กจนๆจะหาเงินที่ไหน ห้าหกพันไปสอบ -_-' 

ด่านแรกผ่านไป เรื่องต่อมาที่ต้องคิดก็คือแล้วจะเรียนสาขานอะไรหละ จบมนุษย์ฝรั่งเศสมาแต่สายงานที่ทำดันเป็น data management ห่างไกลกันลิบลับ สมัครโปรแกรมที่เป็นสายคอมก็สู้คนอื่นทีจบมาตรงสายไม่ได้แต่ก็ลองดู ด่านสุดท้ายก็คือ reference ค่ะ ต้องบากหน้ากลับไปหาอาจาร์ยให้เขียนจดหมายให้ (ป.ล.เราต้อง draft ไปให้อาจาร์ยนะคะ จาร์ยเค้าไม่มีเวลามานั่งเขียนให้เราจริงๆหรอก 

สุดท้ายก็สมัครไปหลายทุนมาก EM ทั้งนั้น ไม่ได้ซักอันเสียใจร้องไห้ไม่รู้กี่รอบจนในที่สุดก็ครบเวลาสองปีที่ตั้งไว้ ทำยังไงดีเอายังไงต่อ ระหว่างที่คิดก็ทำงานเดิมไป หาทุนไปแต่เริ่มเปลี่ยนแนว มาหาทุนในประเทศที่มีโครการ exchange ระหว่างเรียนแทน ใจจริงไม่อยากเรียนในไทยหรอกคะ ไม่ได้อะไรแค่อยากไปอยู่เมืองนอกนานๆ 

ในที่สุดก็มีเพื่อนมาชวนให้สมัครทุนที่ AIT Asian Institute of Technology เห็นชื่อทีแรกก็กลัวคะที่นี่เป็นมหาลัยระดับบัณฑิตศึกษาคือสอนแต่ป.โทกับเอกมีแต่เด็กหัวกะทิแนวหน้า หลักสูตรก็อินเตอร์ แต่เค้ามีทุนจากรัฐบาลไทยให้สำหรับเด็กไทยคะ โดยดูตาม GPA จากป.ตรี ถ้าเกิน 3.5 จะได้ทุนค่าเล่าเรียนเต็มจำนวนคะ ก็เลยลองส่งใบสมัครดู เพราะมีสาขาที่สนใจคือ Information Management
ซึ่งค่อยข้างสอดคล้องกับสายงานที่ทำ และด้วยความที่ชอบสายนี้และอยากได้ความรู้เพิ่มเติมจริงๆเพราะน่าจะเป็น career path ที่เหมาะกับตัวเองก็เลยสมัครคะ วันที่ไปสัมภาษณ์ก็ถามตัวเองว่าจะเรียนที่นี่จริงๆ เหรอ สุดท้ายได้เรียนที่เมืองไทยเหรอเนี่ย ก็แอบนอยด์เล็กน้อย สุดท้ายก็ได้เรียนที่นี่ปี 2010 คะ ระหว่างเรียนที่นี่ก็เห็นโครงการ exchange มากมาย อีกเช่นเคยมีของ EM ด้วย ทายสิคะว่าจะสมัครมั้ย

แน่นนอนคะ เราเรียกตัวเองว่า scholarship seeker มีเหรอจะไม่สมัคร ไม่พอชวนเพื่อนสมัครอีก แต่สุดท้ายเราไม่ได้ เพื่อนเราได้แทนก็ไม่เป็นไรดีใจกะเพื่อน ปาเข้าไปปี 2011 จะจบปีหน้าแล้วยังไม่ได้ไปไหนเลย เมษาปี 2012 ต้องสอบจบแล้ว ทำยังไงดี 

แล้วโอกาสของเราก็มาค่ะ ปลายปี 2011 โครงการแลกเปลี่ยนของทางภาควิชาที่มีประจำทุกปีก็เปิดให้เด็กปีหนึ่งสมัครคะ เป็นการไปเรียนที่ ปารีส สองเทอมทำทีสิสกับมหาลัยที่โน้น แล้วได้ปริญญาจากทั้งสองที่คะ (dual degree program) ซึงเราอยู่ปีสองนะตอนนั้นจะสมัครได้มัยนั้นคือคำถาม แล้วทีสิสก็ทำจะเสร็จแล้วจะให้ไปทำไรที่โน้นอีก แต่ก็ไม่ลองไม่รู้คะ เพื่อนๆยุให้สมัคร แถมช่วยประเมิณโอกาสได้อีกว่าความเป็นไปได้สูงมาก คู่แข่งน้อย เพราะปีนั้นด้วยผลจากน้ำท่วมหรือยังไงไม่รู้ คนสมัครน้อยมาก เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่อาจาร์ยก็ไม่แน่นใจว่าจะสมัครได้หรือไม่ คลุมเคลืออยู่นานจนอาจาร์ยเมล์มาบอกว่าให้สมัครได้ให้รีบส่งเอกสารมาแล้วอาทิตย์หน้าจาร์ยที่ฝรั่งเศสจะบินมาสัมภาษณ์ทุกอย่างเร็วมาก สุดท้ายก็ส่งไป แล้วก็สัมภาษณ์ แล้วในที่สุด ก็ได้คะ ได้ไปแล้วปารีส!!! 

ถึงแม้จะแปดเดือนก็เอา ถึงแม้จะต้องออกค่าตั๋วเครื่องบินเองก็จะไปคะ เงินเดือนที่สะสมมาระหว่างเรียนก็หมดกันคราวนี้หละคะ ดีหน่อยที่เค้ามีเงินเดือนให้แต่แค่ 750 euros คะ ได้ข่าวว่าค่าที่พักก็ปาไปเดือนละ 400 euros แล้วโหดมาก 

ไว้รายละเอียดการเตรียมตัวจะเล่าใน blogต่อไปนะ แต่อยากจะทิ้งท้ายว่า มีความฝันแล้วอย่าทิ้งมันคะ กล้าที่จะฝันก็ต้องกล้าที่จะทำ แม้ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่ซักวันมันจะเป็นวันของเราคะ





Friday, August 23, 2013

บทสอง: เตรียมตัวเตรียมตังค์

เรื่องเงินๆทองๆก็สำคัญคะ คนไม่เคยไปไม่รู้ว่าจะต้องเจอค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง มาลองดูกันคะว่าต้องจ่ายอะไรบ้าง จากบทแรกที่ค้างไว้ว่าได้เงินเดือนแค่ 750 euros ค่าที่พักก็หักไปแล้ว 400 euro เหลือแค่ 350 euros ใช้ต่อเดือนจาพอมั้ยยย หน้าซีด -_- ถามเพื่อนๆที่เคยไปโครงการนี้มาก่อนก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า พอกิน แต่ไม่พอเที่ยว .... ได้ไปแล้วไม่ได้เที่ยวก็เสียเที่ยวแย่ซิ 

เบื่องต้นเลยค่าใช้จ่ายมีดังนี้ เท่าที่จำได้นะ 
ค่าตั๋วเครื่องบิน โชคดีเราได้โปรโมชั่นของ Air France ลด10000บาทถ้าจอง online ไปกลับ Bangkok-Paris 32,XXX ซึ่งตั๋วไม่สามารถเลื่อนวันเดินทางได้เด็ดขาด บนความโชคดีก็มีข้อเสียอยู่ว่าสายการบินนี้ให้น้ำหนักกระเป๋าน้อยมากใครๆก็บ่น มารู้ก็ตอนจองจ่ายเงินไปแล้ว คือให้แค่24 kg ไม่สนว่าคุณจะเป็นนักเรียนหรือไม่ ถ้าจะซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่มก็ได้แต่คุณต้องมีกระเป๋าใบที่สองเท่านั้นและน้ำหนักไม่เกิน 24 ไม่สามารถ มีกระเป๋าใบเดียวแล้วน้ำหนัก 48 ได้ OMG คิดดูใครจะลากกระเป๋าเดินทางใบโตๆสองใบหละ 

ตอนแรกกะจะยืมกระเป๋าเพื่อนไม่ซื้อใหม่ประหยัดเงินแต่ลำพังกระเป๋าเพื่อนก็หนัก 7 kg หละใส่ของได้นิดเดียวก็ 24 สุดท้ายก็เลยต้องเสียเงินซื้อกระเป๋าใหม่ที่เบามากๆ หนึ่งอาทิตย์ก่อนเดินทาง

ทำวีซ่าก็ไม่มีอะไรยากอย่างที่คิดนะ เตรียมเอกสารให้พร้อม ทางมหาลับส่งมาให้เราเกือบครบออยู่แล้ว ตอนยืนขาดเอกสารยืนยันที่พักแต่ก็ไม่เป็นไรก็ส่งไปเท่าที่มีก็ไม่มีปัญหานะคะ แต่รอบคอบไว้ดีที่สุดคะ ตรวจสอบให้เรียบร้อยและเผื่อเวลาขอไว้ล่วงหน้า การขอวีซ่านักเรียนเค้าจะไม่เรียก Schengen นะคะ เพราะเราอยู่มากกว่า สามเดือน visa ที่ขอคือ long sejour ก็คือพำนักระยะยาวค่ะ โดยเมื่อไปถึงฝรั่งเศสแล้วภายในสามเดือนเราต้องไป ทำ OFII ค่ะ ซึงเหมือนการไปรายงานตัวที่ ตม คะแล้วเค้าจะมีสติกเกอร์ OFII ติดเข้ามาใน passport เราเพิ่มอีกหนึ่งใบ 
ทีนี่เราก็สามารถอยู่ในฝรั่งเศสและเข้าออกโซน Schengen ได้ตามระยะเวลาที่ระบุบบนวีซ่าคะ เพราะฉะนั้นเมื่อไปถึงฝรั่งเศสแล้วต้องรีบทำ OFII เลยนะคะ เพราะถ้าไม่ได้ OFII ภายในสามเดือนวีซ่าที่เราได้ไปก็ไรความหมายคะ 
สำหรับนักเรียนที่ได้ทุนจากหน่วยงานฝรั่งเศสไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมวีซ่านะคะ เสียแค่ค่าดำเนินการวีซ่าให้ TLS คะ 

แปลเอกสาร ตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมต้องแปล อะไรที่ต้องแปลแล้วใช้ตอนไหน
ที่สำคัญเลยคือใบเกิดคะ สูติบัตรนั้นเองเอาไปแปลที่สถาบันที่รับรองนะแนะนำ สมาคมฝรั่งเศสน่าจะโอสุด 
แล้วจะใช้ใบเกิดทำอะไรตอนไหนนะหรอคะ ก็ตอนที่เราขอเงินเค้าค่ะ ฝรั่งเศสมีนโยบายช่วยเหลือค่าที่พักอาศัยให้กับนักเรียนคะ ซึ่งให้เหมือนกันหมดไม่ว่าคุณจะเป็นคนเชื่อชาติใดศาสนาอะไรเค้าให้หมดค่ะ ซึ่งจะช่วยเหลือเท่าไหรนั้นขึ้นอยู่กับที่พักอาศัยที่เราอยู่ว่าขอได้เท่าไหร แล้วถ้าเป็นนักเรียนทุนก็จะได้ค่าช่วยเหลือนี้เพิ่มขึ้นค่ะ แต่ process ค่อนข้างใช้เวลานานกว่าจะได้เงินแต่ถ้าได้แล้วเงินก็จะเข้าให้อัตโนมัติตลอดระยะเวลาที่เราอยู่คะ ซึ่งตอนที่เราขอก็ไม่มีปัญหาคะ ใบเกิดที่แปลไปใช้ได้แต่ของเพื่อนบ้างคนก็ใช้ไม่ได้ต้องแปลใหม่อันนี้แล้วแต่ดวงจริงๆคะ ไม่เข้าใจ process เค้าเลยห้าๆ 

ต่อไปก็ต้องคิดว่าไปถึงแล้วต้องจ่ายอะไรบ้างจะได้รู้ว่าต้องเตรียมเงินไปเท่าไหรถึงจะพอ
  1. ค่าประกันหอที่ต้องวางไว้แรกเข้าและจะได้คืนก็ต่อเมื่อออกจากหอ 500 euros มีค่าสมาชิกโน้นนี้นั้นอีกรวมๆก็ประมาณ 580 ที่ต้องจ่ายวันที่ไปถึง
  2. ต้องทำประกันสังคมคะ ถ้าอายุ>28 ต้องทำประกันอีกแบบที่แพงกว่าเล็กน้อย ค่าประกันก็ราวๆ 210 euros คะ แต่ถ้าใครได้ทุนจาก campusFrance เค้าจะออกให้ค่ะ แล้วเค้าจะซื้อประกันเสริมที่เรียกว่า Mutuelle คะ ก็มีหลาย package ให้เลือกก็ราวๆ 214 euros จำไม่ค่อยได้ แต่ถ้าเรามีประกันสองอันนี้เวลาป่วยก็แทบไม่ต้องออกเอง แต่ไม่เคยได้ใช้บริการเลยคะ ขี้เกียจไปหาหมอคุยกันไม่รู้เรื่องเหอๆ ถึงแม้ทุนจะจ่ายให้เราแต่เราต้องสำรองจ่ายไปก่อนนะคะ แล้วเค้าจะคืนเงินให้เราทีหลัง 
  3. จำไม่ได้แล้วก็เอาเป็นว่าค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ จะ cover เดือนแรกที่เราไปถึงก่อนจะได้เงินเดือนจากทุน


อย่าลืมหาไกด์บุ๊คดีๆซักเล่มนะคะจะได้รู้ว่าต้องเตรียมอะไรเที่ยวที่ไหน เพราะเราไปเที่ยว ไม่ได้ไปเรียนเอ้ยไม่ช่ายไปเรียนสิ เที่ยวเป็นผลพลอยได้ 

ไม่อยากจะเชื่อว่าเขียนซะยาวเชียวยังไม่ได้ออกจากไทยเลย ตามกันต่อแล้วกันนะคะ




บทสาม: เริ่มเที่ยว ฝรั่งเศส



เมื่อพร้อมแล้วการเดินทางของเราก็เริ่มต้นขึ้นคะ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ออกมานอกประเทศไกลขนาดนี้ เมื่อก่อนไกลสุดก็พม่าตรงด่านแม่สายแค่นั้นเอง แต่คราวนี้เดินทางไกลกว่า 13,000 กม. ตื่นเต้นจริงๆ อาจจะเวอร์ไปหน่อย แต่เชื่อเถอะคะถ้าคุณเป็นเด็กบ้านๆคนหนึ่งที่มีความฝันแล้ววันหนึ่งฝันของคุณเป็นจริง หัวใจของเราก็จะพองโตมิช่ายน้อย 

12 ชั่วโมงบนเครื่อง นานมากหลับแล้วหลับอีก ไม่ถึงซักทีเมื่อยมาก แล้วในที่สุดเราก็มาถึงคะ สนามบิน Charles de Gaulle ที่อยู่ในหนังสือเรียนฝรั่งเศสสมัยมัธยมได้มาเห็นแล้วว  การเดินทางในยุโรปกำลังจะเริ่มต้นขึ้นคะ อย่างแรกเลยคือไปมหาลัย โชดดีที่เราได้ทุนจาก Campus France คะเค้าใจดีจัดรถมารับถึงสนามบิน วันแรกที่มาถึงอากาศดีคะอุณหภูมิประมาณ 20 กว่าๆเย็นสะบาย (ต้นเดือนกันยา) มหาลัยที่จะไปเรียนอยู่ชาญเมืองปารีสคะ ถ้าไม่มีรถมารับต้องนั่งรถไฟสองต่อ นั่งรถไฟชาญเมืองคะเรียกว่า RER เป็นสายที่วิ่งรอบนอกปารีส ส่วนที่อยู๋ในเมืองเค้าเรียก Metro คะ
 จากสนามบินกว่าจะถึงมหาลัยก็ปาไปสองทุ่มแล้ว แต่ยังไม่มืดมาก เก็บกระเป๋าแล้วก็ออกไปสำรวจหิวด้วยกินอะไรดีนี่สิ สิ่งที่ประหลาดใจคือ สองทุ่มร้านรวงปิดหมดแล้วคะ ไม่มีอะไรขายให้กินแล้ว ดีว่าเจอเพื่อนชาวเวียตนามที่มาจาก AIT ด้วยกัน เค้าเลยหานมขนมให้กินไปพลางๆไว้ว่ากันใหม่พรุ่งนี้เช้า 
อาทิตย์แรกที่ไปถึงยังไม่เปิดเรียนคะ ฉะนั้นแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอเข้าเมืองไปดูหอไอเฟลของจริงซักหน่อยคะ แต่ก่อนจะออกเดินทางขออธิบายระบบ transportation ในปารีส Ill-de-France ให้ฟังคราวๆก่อนหละ(เอาเท่าที่รู้)

 ระบบการขนส่งในปารีสและชาญเมืองปารีสแบ่งออกเป็น 6 โซนคะ โดนมหาลัยที่เรียนอยู่ๆ โซนที่ 5 คะส่วนปารีสและสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญๆ จะอยู่โซน 1-2 คะ พระราชวังใหญ่ เช่น Versaille, Fontanbeau ก็จะอยู่นอกๆ แถวโซน สาม-สี่ นี่หละคะ ที่แบ่งโซนแบบนี้แน่นนอนคะราคาตั๋วก็แพงออกไปอีกตามๆกัน แนะนำใครที่จะไป หาไกด์บุ๊คมาอ่านนะคะ ว่าราคาและรูปแบบของตั๋วเป็นอย่างไรเพราะราคาตั๋วรถไฟปรับขึ้นทุกปีคะ 

ตั๋วรถไฟมีหลายประเภทมากคะ มีทั้งที่เป็นบัตรแข็งสำหรับคนที่อยู่นานๆใช้ประจำ เค้าเรียกกันว่า Navigo คะ ทำได้ฟรีคะ แต่ต้องมีเตรียมเอกสารกันนิดหน่อย เป็นบัตรที่เอาไว้เต็มเงินหรือซื้อเที่ยวโดยสารค่ะ โดยจะเติมได้เป็นรายสัปดาห์ หรือรายเดือนก็ได้ ถ้าคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเดินทางเป็นประจำทุกวัน เค้าก็จะเติมเป็นรายเดือนแล้วแต่โซนที่อยู่และเดินทางคะ ซึ่ง option นี้สำหรับตัวเองถือว่าแพงมากคะ เพราะอยู่โซน 5 เข้าไปเที่ยวในปารีสคือโซน 1 ต้องซื้อโซน 1-5 แค่อาทิตย์เดียวก็ปาไป 30 กว่ายูโรแล้วแพงมากคะ
เราเลยใช้ตั๋วเป็นครั้งๆไปดีกว่าคะ

บัตรแข็งอีประเภทหนึ่งเรียนว่า Imaginaire คะเป็นบัตรสำหรับเยาวชนอายุไม่เกิน 26 ปีคะ ค่าโดยสารจะถูกกว่าครึ่งหนึ่ง เช่นถ้าซื้อรายเดือนโซน 1-2 แบบแรกจะเสียประมาณ 60 กว่าๆ แต่ถ้าเป็นบัตรแบบนี้เสียแค่ครึ่งราคา ใครที่อายุยังน้อยแล้วอยากไปให้รีบไปนะคะ เพราะต่ำกว่า 26 เนี่ย Museum ทั้งหลายในปารีสเข้าฟรีหมดค่ะ เราไปตอนอายุ 27 แล้วเสียดายมากๆ ทำไมไม่มาให้เร็วกว่านี้ 

รายละเอียดเรื่องตั๋วโดยสารแบบอื่นๆ หาได้ที่นี่นะคะ http://www.ratp.fr/

สรุปว่าทางเลือกที่ถูกที่สุดก็คือ บัตร Mobilis Jeune คะสำหรับ โซน 1-5 ราคาประมาณ 7.8X ยูโรคะ แต่ราคานี้เฉพาะเดินทางเสาร์-อาทิตย์เท่านั้นนะ วันธรรมดา 15 ยูโรคะ จริงๆบัตรนี้เค้าให้เด็กอายุไม่เกิน 26 ใช้คะเพราะชื่อก็บอกว่า Jeune  แต่เราซื้อมาใช้ได้ไม่ผิดอะไรคะ หน้าเด็กๆเนียนได้ แล้วเวลาเค้าตรวจตั๋วเค้าก็ดูแค่ว่าเราซื้อตั๋วมาถูกต้องคะไม่ได้โดดเข้ามาแบบไม่มีตั๋วแบบที่พวกคนดำชอบทำ ซึ่งตั๋วประเภทนี้ใช้กับรถโดยสารได้ทุกประเภทในระบบคะ ใช้ได้ทั้งวันไม่ว่าจะขึ้น metro, RER, bus, tram ไปได้หมดสะบายหายห่วงกี่รอบก็ได้ ระวังแค่อย่าทำมันหายคะ เพราะมันใบเล็กมากแล้วใช้เสียบเข้าๆออกๆ ตลอดเวลาบางทีก็ลืมไม่รู้เก็บไว้ตรงไหน 

เข้าเมืองมาแล้วก็ไม่พลาดที่จะไปทุกๆ land mark ที่สำคัญของปารีส อาจจะดูโลภซักหน่อย ที่ไปซะเกือบครบ ก็มันอยากเห็นทุกอย่างที่เรียนมาในหนังสือนี่ค่ะ ขอเถอะนะรอเวลานี้มานาน 

ไม่ต้องสงสัยเลยคะว่าที่แรกที่จะไป ก็คือหอไอเฟลคะ ระบบรถไฟที่โน้นออกจะซับซ้อนไปหน่อยสำหรับวันแรกค่ะ เพราะมันมีหลายสายมาก ดูยังไงก็ไม่รู้ไม่มีใครมาบอก มีไกด์บุ๊ดอยู่หนึ่งเล่มเป็นตัวช่วย จะใช้ประสบการณ์ที่ขึ้นรถไฟ้ใต้ดินที่ กทม ก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะบ้านเรามีสายเดียว อันนี้มีเป็นสิบๆสายโยงกันเป็นใยแมงมุม แต่พอเข้าใจระบบแล้วก็ไปได้คะ ง่ายมากแค่ดูว่าสถานที่ๆเราจะไปสายอะไรผ่าน แล้วสายนั้นต้นสาย กับปลายสายชื่ออะไร แล้วเราก็ดูป้ายแล้วก็เดินๆตามไปคะ ขึ้นซักสองสามครังก็เกทเองคะ 
ถึงแล้วคะ La tour Eiffel สถานีรถไฟที่ใกล้หอไอเฟลที่สุด ก็มี Trocadéro, Champ de Mars -Tour Eiffel ถึงจะใกล้ที่สุดแต่เราก็ต้องเดินอีก 5-6 ร้อยเมตรได้ ใครไม่เคยชินกับการเดินนะคะ อยู่ที่นี่ได้เดินจนผอมไปเลยหละคะ อาทิตย์แรกที่ไปถึงอากาศดีคะมีแดด แล้วก็เย็นสะบาย คนไทยอาจไม่ชอบแดด แต่อยู่ๆไปเราจะรักแสงแดดมากทีเดียว โดยเฉพาะหน้าหนาวที่หนาวจนปวดหัว ถ่ายรูปชื่นชมกับหอไอเฟลจนสมใจ ก็ดำดินไปต่อกันที่ ประตูชัยคะ Arc de Triomphe โฝ่ลจากเมโทรสาย 1 สถานี Charles de Gaulle - Étoile ก็เจอเลยคะ ไม่เดินไกลเหมือนหอไอเฟล ก็เดินเล่นถ่ายรูปตามประสา 

ได้เวลาอาหารกลางวัน อาหารฝรั่งเศสมื้อแรกก็คือ French Fried ของ Mc Donal ฝรั่งเศสของจริงมาก แบบว่าสั่งไม่เป็น ไอ้ที่เรียนมาก็ลืมหมดแล้ว อีกอย่างยังตกใจกับราคาที่แอบแพงด้วย จานหละสิบกว่ายูโร มาถึงใหม่ๆไม่รู้แหล่ง ก็กิน Mc ไปก่อนแล้วกัน

อิ่มแล้วก็ไปต่อที่ Louvre คะก็ต่อเมโทรสายหนึ่ง ไปลงที่ Palais Royal Musee du Louvre กันเลย วันนี้เป็นทัวร์ชะโงกคะเรายังไม่เข้าชมอะไรทั้งนั้น เพราะยังอยู่ที่นี่อีกหลายเดือน รอวันอาทิตย์แรกของเดือนค่อยมาคะ เพราะเค้าเปิดให้เข้าชมฟรี ประหยัดเงิน อิๆ 

จากนั้นนัดพี่คนไทยไว้คะ พี่เค้าก็พาเดินจาก Louvre ไป Notre-dame ดีมากเลยคะที่ได้เดิน ได้ชมเมืองเต็มที่ ไม่ต้องดำดินมืดๆ ระหว่างเดินก็มีกลุ่มคน หน้าตาออกแขกๆเอเชียๆ มาให้เราเซ็นชื่อคะ พี่เค้าบอกว่าอย่าไปเซน ให้เดินหนีเลยเพราะคนที่ไม่รู้เซนชื่อเสร็จเค้าจะเก็บเงินจากเรา เพราะเอกสารที่เซนข้างล่างเขียนว่าเรายินยอมจ่ายเงินเท่านี้ ให้ หากินกันง่ายๆแบบนี้เลย มีเยอะคนแบบนี้ในปารีส และสถานที่ท่องเที่ยวใหญ่ๆในประเทศอื่น ระวังๆไว้ก็ดีคะ

สุดท้ายพี่เค้าพาไปย่าน China town คะ Quartier chinois อยู่เขต 13 คะ เมโทรสาย14 สถานี Olympiades ซึ่งเป็นแห่งที่สำคัญเรื่องอาหารการกินสำหรับเราคะ เครื่องปรุ่งเครื่องเทศของเอเชียหาได้จากที่นี่คะ แน่นอนเราต้องทำกับข้าวกินเองคะ เพราะเราจะเจอแต่ขนมปังซึ่งไม่ทำให้รู้สึกอิ่มและร่างกายต้องการข้าวคะ เท่าที่อยู่มารู้สึกว่าอย่างน้อยในหนึ่งวันต้องได้กินข้าวไม่งั้นอยู่ไม่ได้ ห้าๆ แม้ใครจะบอกว่าอาหารฝรั่งเศสนั้นเลิศรส แต่คนไทยอาหารไทยนี่หละอร่อยสุดๆแล้ว อีกอย่างเพื่อนที่อยู่มาก่อนแนะนำว่า เราควรประหยัดเรื่องกินคะเพราะเป็นเรื่องเดียวที่ประหยัดได้ และการทำกับข้าวกินเองนั้นประหยัดสุดๆคะ
ทริปแรกวันนี้ก็จบแล้วคะ ได้สำรวจครบทุกทีสมใจ ^_^

ปารีสไม่ช่ายฝรั่งเศสนะคะ ยังมีอีกหลายที่ๆไป ไว้จะทยอยเล่าก็แล้วกัน

บทสี่: ฝรั่งเศส นั้นมีมากกว่าปารีส


ก็อย่างที่เคยได้ยินคะ เวลาพูดถึงฝรั่งเศสทุกคนก็จะนึกถึง หอไอเฟล ปารีส เมืองน้ำหอม แต่คงไม่ช่ายสำหรับเด็กมนุษย์ฝรั่งเศสที่เรียนมานาน เพราะฝรั่งเศสก็เหมือนบ้านเราหละคะแต่ละภาคก็มีภาษาและวัฒนธรรมของตัวเอง พูดมาซะเยอะไม่ได้จะพาไปไหนไกลคะ เมืองข้างๆกับมหาลัยนี่เอง ชื่อว่า Corbeil ไม่ต้องสงสัยคะว่าทำไมไม่รู้จักเพราะเป็นแค่เมืองเล็กๆที่ มีแม่น้ำแซนไหลผ่าน แล้วก็มีตลาดนัดและ ขนมอร่อยๆ ให้เราไปช๊อปปิ้งคะ เป็นเมืองที่ได้เห็นชีวิตคนที่เค้าอยู่กันจริงๆ 

ด้วยความได้เปรียบที่เราอ่านและพูดฝรั่งเศสได้ แต่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหรไม่ได้ใช้มานาน ฝุ่นมันเกาะหมดแล้ว ก็หาข้อมูลไปเรื่อยคะเพราะสงสัยว่าแถวที่ๆเราอยู่มันจะไม่มีอะไรให้เที่ยวเลยจริงๆเหรอ นอกจาก carrefour หาจนได้ความว่า มีเมืองข้างๆชื่อ Corbeil  ดูในรูปเมืองก็น่ารักดีแล้วก็มีตลาดนัดทุกวันอาทิตย์ ก็เลยลากเพื่อนไปค่ะ ส่วนวิธีไปก็ไปได้สองทาง รถเมล์กับรถไฟ RER นี่หละคะ รถไฟสถานีเดียวถึง รถเมล์ก็ครึ่งชั่วโมง เสริมอีกนิดคะเรื่องภาษาเนี่ยใครอยากมาเที่ยวพูดไม่ได้ก็ไม่เป็นไรคะ แต่ถ้าคุณพูดฝรั่งเศสได้ คนฝรั่งเศสที่น่าบึ่งๆใส่คุณจะ niceขึ้นมาทันที ก็อารมณ์เดี๋ยวกับเรานี่หละคะ ที่พูดอังกฤษไม่ได้เห็นฝรั่งเราก็ไม่อยากคุยด้วย แต่ถ้าฝรั่งพูดไทยได้เราก็ยินดีคุยกับเค้าเต็มที่ก็แบบเดียวกันนั้นหละคะ แต่เท่าที่อยู่มาไม่เคยเจอคนแย่ๆใส่เลยนะ แต่เพื่อนๆที่อยู่มาก่อนบ่นกันเป็นแถวๆ เพราะติดต่ออะไรกับเจ้าหน้าที่ก็ต้องพูดฝรั่งเศสหมดหุๆ เมืองนี้ก็ไม่มีอะไรมากคะเราแค่มาหาของกินอร่อยๆ สตอเบอรี่กล่องนั้นก็ 1-2 ยูโรคะ แล้วแต่ฤดูกาล 


ตอนแรกกะจะแยก แต่นึกไม่ออกแล้วจะเขียนอะไร เอาทริปอื่นมาต่อเลยแล้วกัน 
ขยับขึ้นไปทางเหนือของฝรั่งเศสอีกนิดคะ  Normandie จริงๆตั้งใจอยากจะไป Mont-Saint-Michel เป็นโบสถ์เก่าแก่อยู่บนเกาะสวยมาก แต่ก็ไปไม่ถึงคะด้วยอะไรหลายๆอย่าง เป็นที่ๆเดี่ยวที่อยากไปแล้วไม่ได้ไป ติดไว้ก่อนนะ......แล้วจะไปใหม่ 

จากไกด์บุ๊คที่เอาติดตัวมา ก็ทำให้เราหาเรื่องเที่ยวเมืองอื่นๆบ้างใกล้ๆ เมืองที่กำลังจะพาไปชื่อ Rouen คะเป็นบ้านเกิดของ Joan of Arc หรือ Jeanne d'Arc 
พาหนะหลักในการเดินทางของเราก็คือรถไฟคะ ระบบรถไฟที่นี่ครอบคุลมทั้งฝรั่งเศสคะ  เร็วและตรงเวลา อาจจะไม่เป๊ะมากแบบสวิสแต่ก็ดีกว่าบ้านเราเป็นไหนๆ เพราะฉะนั้นถ้ารู้ตัวว่าชอบเที่ยวแล้วอายุไม่เกิน 26 แนะนำให้ซื้อบัตรส่วนลดไปเลยคะเพราะลดได้ 25-75% ของราคาตั๋วเลยทีเดียว บัตรลดจะราคาประมาณ 50ยูโรคะ ใช้ได้ 1 ปี แต่ถ้าอายุเกิน 26 แล้วไม่ต้องซื้อดีกว่าคะ หาตั๋วโปรโมชั่นน่าจะถูกกว่าเพราะซื้อมาแล้วรู้สึกว่าไม่คุ้มเลย เว็บไซด์การรถไฟฝรั่งเศส http://www.voyages-sncf.com/ จองตั๋ว online ได้เลยคะ โดยราคาตั๋วก็เหมือน low cost airline บ้านเราคะจองล่วงหน้านานๆก็จะถูก บ้างช่วงมีโปรโมชั่น ซื้อ 1 แถม 1 ก็มี ต้องติดตามโปรโมชั่นให้ดีคะ แต่ถ้าไม่มีโปร บางทีตั๋วเครื่องบินยังถูกกว่าอีกคะ 
สายการบิน Low cost ที่โน้น ก็ http://www.easyjet.com/  ถ้าเราซื้อตั๋วราคาปกติ ก็สามารคืนตั๋วได้คะ หรือสามารถแลกตั๋วได้ด้วย

 ทริปส่วนใหญ่ก็จะไปกันเสาร์อาทิตย์คะ เพราะว่ามีเรียน มีแต่ช่วงหลังๆที่ไม่มีเรียนแล้ว ลากยาวได้ ทริปนี้ สองวัน หนึ่งคืนคะ ตอนแรกตั้งใจจะไปแค่ เมือง Rouen ไปตามที่ๆ ไกด์บุ๊คบอกไว้แบบว่าชิวๆ
ปรากฏว่าไปถึงเมืองเป็นวันหยุดอะไรซักอย่างของฝรั่งเศสคะ สถานที่ๆจะไปเยี่ยมชม ร้านค้าปิดหมด ก็เลย เปลี่ยนแผนกระทันหันมากก ซื้อตั๋วรถไฟใหม่หน้าตู้แล้วก็ไปอีกเมืองที่ จะต้องไปต่อรถบัสเพื่อไปเมืองชายทะเล ตามรูปข้างๆนี้อะ จำชื่อไม่ได้ แต่หลายคนอาจจะเคยเห็นเพราะเป็นฉากในหนังและละครอยู่หลายเรื่อง

พอไปถึงสถานีที่ต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถบัสปรากฏว่ารถบัสมีแค่วันหละสองเที่ยว และเที่ยวต่อไปที่จะมาก็เย็นโน้นเลย สรุปไปไม่ได้  ทำไงต่อ...... เราตัดสินใจไปอีกที่หละกัน ยังไม่เลิกล้มความพยายามที่จะไปเห็นทะเลทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ก็นั่งรถไฟต่อไปคะโดยที่ตั๋วเราก็ไม่ค่อยจะถูกต้องเท่าไหร เพราะอะไรก็จำไม่ได้ จำได้แต่ว่าตอนที่เค้ามาตรวจตั๋วน้องที่ไปด้วยตื่นเต้นและรนมากกลัวโดนจับ แม้ในใจเราก็กลัวแต่ด้วยความเป็นพี่และเป็นคนนำเพื่อนมาก็ต้องใจดีสู้เสือทำหน้าเนียนๆ คุยกะคนตรวจตั๋วไป ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทุกอย่างผ่านไปด้วยดี คนตรวจตั๋วแค่บอกว่าวันหลัง validateตั๋วด้วยนะ แค่นั้นรอดไปเหอๆ 

ถึงแล้วคะเมืองชายทะเลของเรา Fecamp ลมแรงมาก หนาวด้วย แต่ก็ใกล้เคียงที่ๆอยากไป ให้อภัยถึงแม้จะมาแบบมั่วๆ ไกด์บุ๊คที่อยู่ในมือช่วยอะไรได้ไม่มากเพราะเป็นภาษาฝรั่งเศสกว่าจะอ่านเข้าใจนาน เอาเป็น prop ถ่ายรูปเล่นๆพอ 

ระบบขนส่งในแต่ละเมืองก็ไม่เหมือนกันคะ ต้องศึกษาไปว่าเค้าเดินรถอะไรแบบไหน ก็อย่างเมือกี้ที่รถบัสวิ่งแค่สองเที่ยวต่อวันไม่ได้มีตลอดก็ทำให้เราพลาดและเสียเวลา แต่บางครั้งการที่เราออกนอกเส้นทางบ้างก็ทำให้ได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ ซึ่งหาไม่ได้จากการไปกับทัวร์นะ

น้ำมูกไหลกันจนสมใจแล้วก็ได้เวลากลับไป Rouen คืนนี้เราจะพักที่นั้น หาอะไรกินแล้วตอนเช้าเราค่อยเที่ยวเมืองนี้กัน เก็บกระเป๋าเข้าที่พักเรียบร้อย เราก็ตื่นเต้นกับแสงสีอีกฝากของแม่น้ำคะ มีงานวัดหรือนั้น ห้าๆ

ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเทศกาลอะไรแต่ก็ทำให้ทริปนี้สนุกสนานทีเดียว เห็นขนมของกินแปลๆมากมาย
มีตู้ที่หยดเหรีญจับตุ๊กตาหรอกเด็กแบบที่เราเล่นกันสมัยเด็กๆด้วย เพื่อนหมดเงินไปเยอะทีเดียวไม่ได้ซักตัว สนุกสนานกับงานวัดตรงนี้ไม่น้อยคะ เช้าอีกวันเราจะเที่ยวในเมืองกัน

ลืมบอกไปคะว่า Rouen มีเอกลักษณ์ก็ตรงบ้านไม้ครึ่งปูนที่เป็นเอกลักษณ์ของบ้านแถบยุโรปตอนเหนือคะ ซึงไม่เหมือนในปารีสนะ แต่จะเหมือนกับบางเมืองในเบลเยี่ยมไว้จะพาไปค่ะ การเที่ยวในเมือง Rouen เราเดินทั้งหมดคะ จากสถานีรถไฟเดินมาที่พักแล้วก็เดินเที่ยวรอบๆเมืองคะ เหนือยขาลากเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าใครจะไปเที่ยวเตรียมรองเท้าผ้าใบที่ใส่และเดินสะบายไว้คะ จะได้ไม่ต้องซื้อใหม่

ก่อนจะปิดท้ายด้วยรูปของเมือง Rouen จะบอกว่าทริปสองเมือง สองวันหนึ่งคืนนี้ หมดเงินไปประมาณ 109 ยูโร รวมค่ารถที่พักทุกอย่างแล้ว ก็ถือว่าโอเคนะ สี่พันบาท ได้ไปตั้งสองเมืองก็พอๆกับเราไปเที่ยวหัวหินละคะจริงมั้ย


โลกใบนี้กว้างใหญ่ รอเราออกไปค้นหาไปตอนที่ยังมีแรงนะคะ อย่ามัวแต่รอ