Saturday, September 28, 2013

สองคนเพื่อนตายลุยยุโรป-> เมื่อ Brussels ไม่น่ารักเหมือนเคย

เครียปัญหาได้แล้ว ถึงเวลาออกเที่ยวแล้วค่ะ เนื่องจากเลื่อนทริปออกไปเป็นสามอาทิตย์ ก็เลยให้เพื่อนเลือกเอาว่าจะเที่ยวในปารีสหรือจะไปเบลเยี่ยม แล้วคำตอบที่ได้คือเบลเยี่ยม เราก็จัดให้ ไปมาแล้วนี่ก็รู้ว่าอย่างน้อยต้องไป Brussels และนอนที่ Brugge ซักคืนเพราะเมืองน่ารักมาก แม้ว่าจะเคยไปมาแค่ครั่งเดียวแต่ก็ยังพอจำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนไม่ต้องเสียเวลาเตรียมตัวคะไปได้เลย เราก็เลยจองตั๋วรถ ครั้งนี้เราจะไปรถบัสของ Mega Bus แล้วกลับรถไฟ  นั่งบัสจะลำบากนิดนึ่งเพราะเค้าไม่ได้มี bus station จริงจังโดยเฉพาะ Mega Bus เนี่ย แต่ดีตรงที่รถจอดใกล้ๆกับกลางเมืองเดินทางไม่ลำบากมาก 

ทริปนี้กะว่าสะบายไม่มีอะไรน่าห่วงเพราะไปมาแล้ว พักก็พักที่เดิม ตอนที่เดินเที่ยวก็ไม่น่ากลัว แต่แล้วทำไม Brussels เมืองที่น่ารักด้วยเจ้าการ์ตูนติน ติน ถึงเปลี่ยนไป เดินไปทางไหนก็มีแต่พวกแขกน่ากลัวๆ แซวตลอดทาง หรือเป็นเพราะเราเป็นผู้หญิงสองคนที่ทำหน้าโหดไม่พอเลยตกเป็นเป้า เพื่อนเริ่มไม่ปลื้มเมืองนี้เท่าไหร เลยตัดสินใจพาไปขึ้นรถไฟใต้ดินจะได้ไม่ต้องเจอพวกนี้ แต่ก็โดนดีจนได้ ขณะที่เรากำลังจะลงจากรถไฟ ก็มีผู้ชายมาเปียดเพื่อนเราเปียดเหมือนพยายามจะลง พอหลบให้ลงมันก็ไม่ลงจากรถ เพื่อนก็เลยเปียดลงมา พอเราทั้งคู่ออกมายืนที่ชานชลาผู้ชายคนนั้นก็มองหน้า มองแบบไม่วางตาเพื่อนเราก็มองหน้ามันแล้วก็บอกว่าไอ้คนนั้นมันเปียดแล้วก็ไม่ลง สิ่งแรกที่นึกได้แล้วถามเพื่อน มีอะไรหายรึป่าว!! เพื่อนก็สำรวจตัวเองขณะนั้นรถไฟก็ปิดประตูและออกไปแล้ว ปรากฏว่าถุงมือที่ยัดไว้ที่กระเป๋าเสื้อโค้ทหายไป โชดดีที่ iPhone อยู่ในกระเป๋าอีกข้างที่ไม่โดนเปียด ก็นับว่าโชคยังดีที่ไม่มีอะไรสำคัญหายไป เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของตัวเองที่อยู่ยุโรปมาหลายเดือนไม่ยักกะเจอ แล้วในที่สุดก็เจอจนได้ เป็นเพราะเราไว้ใจเมืองนี้มากไป ไม่ระวังตัวเองให้ดี วันนั้นเลยได้พาเพื่อนไปแค่ Grand Place เท่านั้นคะ ก่อนแวะหาอะไรกินและซื้อของมากินเล่นในห้องนิดหน่อยเราเข้าไปหมกตัวอยู่ในห้องตั้งแต่หกโมงเย็นกว่าๆ ไม่ออกไปไหนอีกเลย รอจนเช้าเราจะออกไป Brugge กันคะ (เตื่อนสาวๆที่จะไปเที่ยวตามรำพังว่าระวังตัวกันหน่อยนะคะ อย่ามัวแต่เพลิดเพลิน หรือเผลอ เพราะมิจฉาชีพมันจ้องเราอยู่ตลอดเวลา)

เช้าวันรุ่งขึ้นเรา check out แล้วจับรถไฟดิ่งไป Brugge เลยคะ ไม่ไหวจะเครียกะ Brussels ละงอล ก็ไม่วายเจอรถไฟสภาพแบบว่าไม่มีที่ให้นั่ง สาบานว่าครั้งที่แล้วมาสะบายกว่านี้นะ โหดได้อีกทริปนี้ เรากระเหลี่ยงชาวไทยสองคนต้องไปนั่งตรงทางเชื่อมระหว่างโบกี้อะคะได้ข่าวว่าก็จ่ายเงินนะทำไมไม่มีที่ให้นั่งหละ นั่งมาซักพักถึง Gent คนก็เริ่มลงแล้วคะมีที่นั่งละ เราจอง iBis Hotel ที่อยู่ใกล้กลับสถานีรถไฟที่ Bruggeไว้คะ ราคาไม่แพงอย่างที่คิด จองผ่าน Booking.com คราวที่แล้วมาก็เดินเที่ยวเอา ทีแรกก็เลยรากเพื่อนไปเดินก่อนคะ เหอๆ เดินๆเที่ยวได้ซักครึ่งเมืองก็เริ่มหนาวไม่ไหว เห็นคนเค้าปั่นจักรยานกัน ก็เลยตัดสินใจกลับมาเช่าจักรยานซึ่งอยู่ใกล้กลับสถานีรถไฟ (ต้องเดินย้อนออกมาอีกนะ ฉลาดจริงๆไม่รู้จักเช่าแต่แรก) สนนราคาถ้าจำไม่ผิดรู้สึก 12 euros / 24 hrs มีมัดจำอีก 50 euros เราเป็นคนปั่นเพื่อนก็ซ้อนไป 

ก้าวแรกที่พาเพื่อนเดินเข้าไปในตัวเมือง เธอก็ตกหลุมรักก่อนอิฐของตึกรามบ้านช่องที่นี่แล้วค่ะ ถ่ายรูปกันเยอะมาก กว่าจะย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้กินเวลาพอสมควร เราก็เดินชมเมืองมาเรื่อยๆคะ จนมาหยุดเอาที่ร้านทำลูกอม เพราะคนที่สาธิตการทำนี่หละคะห้าๆ ก็เวิ้นเว้อกันไปตามประสาสาวๆ ที่ Brugge นี่ไม่มีพวกแขกขาวหน้าตามิจฉาชีพให้เห็นเท่าไหร เส่นห์ของเมืองก็อยู่ที่คลองและตึกทรงโบราณที่ยังอยู่ในสะภาพดีคะ คนนำเที่ยวอย่างเราค่อยใจชื่นขึ้นหน่อยที่ลูกทัวร์ชอบ ทริปนี้เราเน้นกินหละดูขนมหน้าตาแปลกๆคะ เพราะเพื่อนเราคนนี้เป็นเจ้าของร้านเบเกอรรี่นะ มาตามหาไอเดียทำขนม 



ปั่นจักรยานที่นี่ก็ตื่นเต้นไปอีกแบบทั้งพื้นที่เป็นแบบอิฐปู แถมเลนที่ขับกันที่โน้นเข้าชิดขวา เราก็ติดปั่นชิดซ้ายลืมตัวตลอดเวลากระเหลี่ยงของจริง โดนเพื่อนดุตั้งหลายทีเพราะเกือบโดนรถเค้าสอยเอา คนปั่นก็ไม่ได้จะรู้สึกหนาวเลยคะ ออกจะร้อนด้วยซ้ำแต่คนที่ซ้อนอยู่ข้างหลังนั้นน้ำมูกไหลไปถึงไหนแล้วไม่รู้น่าสงสารจริงๆ เราปั่นเล่นทั่วเมืองจนค่ำ ก่อนจะแวะร้านอาหารที่ซุ่มเข้าเพราะความน่ารักของร้านคะ เห็นราคาอาหารก็แอบตั๊กะใจ จานเกือบยี่สิบยูโร เราเลยสั่งแค่สลัดsalmon กับจานหลักที่เป็นซี่โครงหมูแค่นั้น พนักงานคงงงกินอะไรของมัน แล้วพอมาเสริฟ โหคิดถูกคะที่สั่งแค่นั้น จานใหญ่มากกกกกก ฝรั่งกินคนเดียวหมดได้ไงนั้น

เช้าวันสุดท้ายที่ Belgium เรายังมีเวลาอยู่ที่ Brugge คะแล้วค่อยกลับเข้า Brussels บ่ายๆเพื่อแวะซื้อของฝากและขึ้นรถไฟกลับปารีสค่ะ เราได้มีโอกาสปั่นจักรยานออกไปโซนด้านนอกเมืองที่ีมีกังหันลมด้วย คราวที่แล้วไม่ได้ไป แล้วก็แวะพิพิธภัณฑ์ Chocolate คะก็เพื่อนชอบทำขนมมาถึงเบลเยี่ยมที่ขึ้นชื่อเรื่อง Chocolate แล้วก็ต้องแวะกันหน่อย ค่าเข้าชมไม่ถึง 10 ยูโร คะเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แต่ก็น่ารักได้ความรู้เรื่อง Chocolate กันไป เที่ยวที่นี่ผ่านไปได้ด้วยดีคะ เดี๋ยวเราต้องกลับเข้าไปที่ Brusselsไปแวะซื้อChocolateเป็นของฝากแล้วไม่รู้จะเจออะไรอีกบ้าง ลาฺ Brugge ด้วยรูปขนมแล้วกันนะ

กลับมาที่ Brussels เกือบๆห้าโมงเย็นคะ เรามีเวลาซื้อของฝากประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ก็เลยจะนั่งรถเมโทรไปเอาในใจก็แอบกลัว หวังว่าคงไม่เจอขโยมคนนั้นแล้ว ขณะที่เรากำลังงมป้ายที่ชานชลาว่าจะขึั้นขบวนไหน รถไฟมาเทียบพอดีเพื่อนกำลังก้าวขึ้นเราก็พึ่งดูรู้ว่าไม่ช่ายขบวนนี้ กำลังจะดึงมือเพื่อนลงมาก็หันไปเห็นกระเป๋าสะพายที่คุ้นมากกกก พอเงยหน้ามองเจ้าของ โอ้ววววช่ายเลย ไอ้หัวขโมยคนนั้น เรากะเพื่อนกระโดดถอยออกจากรถไฟขบวนนั้นทันที แล้วยืนอึ่งที่ชานชลาพร้อมกับยืนมองหัวขโมยคนนั้นที่กำลังกวักมือเรียกเรา เอิ่มมม แรงกล้ามาก   รถไฟขบวนที่เราต้องขึ้นมาพอดียังดีที่คนละทางกับหัวขโมยนั่น 

เราซื้อของทำธุระเสร็จก็จะต้องกลับไปที่สถานีรถไฟใหญ่เพื่อรอขึ้นรถไฟกลับปารีส ขณะที่เรารอรถไฟใต้ดินอยู่ที่ชานชลา เราก็มองไปที่ฝั่งตรงข้ามแล้วก็ไม่น่าเชื่อหัวขโมยคนเดิมยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเรา เหมือว่ามันจะเห็นเราด้วย เราก็รอดูว่ามันจะขึ้นรถไฟขบวนไหน ขบวนแรกที่มาถึงมันก็ไม่ขึ้นยังคงเดินป่วนเปี้ยน จนขบวนที่เราต้องขึ้นมาถึงเรากับหัวขโมยนั้นอยู่คนละฝั่งกันคะแต่ขบวนรถไฟสามารถขึ้นได้ทั้งสองฝั่ง เราทำท่าขึ้นขบวนนั้นคะแล้วทันทีที่เห็นไอ้หัวขโมยนั้นขึ้นมาเราก็โดดลงก่อนประตูจะปิดแล้ววิ่งไปหลบหลังเสา คือ ณ ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกคิดกันได้แค่นี้จริงๆ เราก็รอขึ้นขบวนถัดไป กะว่าถ้ามันดักอยู่สถานีหน้านี่มันจ่องเล่นเราชัวร์ แล้วก่อนรถไฟจะจอดสถานีถัดไปเราก็เห็นมันยืนรอรถอยู่คะ เราดูว่ามันจะขึ้นมาหรือไม่แล้วมันก็ขึ้นมาจริงๆ เราก็เลยโดดลงอีกรอบ วิ่งไปหลบหลังเสาเหมือนเดิม คือตอนนั้นก็พยายามหาเจ้าหน้าที่ประจำสถานีหรือคนท้องถิ่งแต่มองไปแล้วไปไม่เจอใครเลย มีแต่ท่าทางเป็นนักท่องเที่ยว กับที่ออกแนวหน้ากลัว เรากะว่าทิ้งระยะห่างซักขบวนค่อยขึ้นน่าจะไม่เจอแล้วเพราะอีกสองสถานีก็ถึงสถานีใหญ่ โชดดีที่เป็นไปตามคาดไม่เห็นหัวขโมยนั้นแล้วคะ แล้วเราก็มาถึงสถานีใหญ่อย่างปลอดภัย มิจฉาชีพพวกนี้เป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาทำให้ Brussels เสียชื่อ ทั้งๆที่คนท้องถิ่นก็ไม่ได้เป็นแบบนี้แต่ถ้าเค้าไม่ดูแลไม่มีเจ้าหน้าที่ในสถานีรถไฟเลย ก็น่ากลัวไม่น้อย 

ทริปนี้สอนให้รู้ว่าเป็นผู้หญิงสองคนไปเที่ยว อย่าทำตัว่ออนหัด ทำหน้าโหดๆไว้ แต่งตัวแมนๆ เพราะทริปน่าเราจะไปลุยอิตาลีที่ขึ้นชื่อกันเรื่องขโมยคะ 



Friday, September 27, 2013

สองคนเพื่อนตายลุยยุโรป: กว่าจะได้เที่ยว

ทริปนี้มีเพื่อนรวามทางเป็นเพื่อนรักที่สนิทกันมากเราเคยพูดกันเล่นๆว่าให้ตามมาเที่ยวนะ ถ้าได้ไปยุโรปแล้วเพื่อนก็มาจริงๆเจ๋งสุดๆ  เราว่างแผนทริปนี้ล่วงหน้ามานานคะ ดูตั้งแต่ว่าจะมาช่วงไหนดี อากาศช่วงไหนโอเค ช่วงไหนน่าจะเครียงานเสร็จ ก็เป็นอันตกลงกันว่าปลายๆมีนา ต้นเมษาน่าจะโอเค เพราะผ่านช่วงที่หนาวที่สุดไปแล้วเข้าช่วงฤดูใบไม้ผลิ แล้วเรียนก็ใกล้จะจบแล้วตามระยะเวลาของโปรแกรม ไม่น่าจะมีงานอะไรมาก 

เราเริ่มคุยๆกันว่าจะไปไหนบ้าง เพื่อนคลั่งไคล้อังกฤษคะและอยากไปลอนดอนมาก เพราะฉะนั้นทริปของเราเลยออกมาแบบนี้ พอมาถึงก็พาเที่ยวฝรั่งเศสก่อนซักสองวัน เผื่อเวลาให้พักฟื้นจากอาการ Jet Lag แล้วไปลอนดอน จากนั้นกลับมาพักปารีส แล้วลุยอิตาลีก่อนกลับไทยโดยบินออกจากปารีส เมื่อตกลงกันแล้วก็เขียนแผนเที่ยวคราวๆค่ะ เราเองก็ทำจดหมายเชิญเพื่อนมาเที่ยว โดยที่พักนั้นจองโรงแรมใกล้ๆลอยไว้คะ เพราะถึงเวลาจริงแอบมานอนที่ห้องเราได้จะได้ไม่เปลืองค่าที่พัก แต่ไม่สามารถเขียนเชิญให้มาพักที่ห้องตัวเองได้ เพราะตามกฏเค้าหมายคนนอกเข้าคะ ก็ระยะเวลาทั้งหมดคือสองสัปดาห์ 
เดิมทีเพื่อนจะให้เอเจนซี่ที่รู้จักดำเนินการให้แต่สุดท้ายทำทุกอย่างเองคะก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด 

เนื่องจากเราต้องไปอังกฤษด้วยซึ่งต้องขอวีซ่าต่างหากไม่สามารถใช้ Schengenได้ ก็เลยต้องขอทั้งสองที่ โดย Schengen ขอของฝรั่งเศสคะเพราะเป็นประเทศที่เราอยู่นานสุดในทริป ส่วนจะขออันไหนก่อนดีหละ เอเจนซี่ที่เคยคุยไว้บอกว่าขอ Schengen  ให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปขออังกฤษ แต่Schengen เองกลับ require ว่าถ้าจะไปประเทศอื่นนอกโซนให้ขอประเทศนั้นก่อนแล้วค่อยมาขอ Schengen  เราก็ไม่รู้ยังไงดีก็เลยตัดสินใจกันว่าขอ Schengen  ก่อนแล้วกัน  กำหนดการเดินทางมาฝรั่งเศสคือ 21 มีนา คะ ถึงก็ 22 เพื่อนได้วีซ่าทั้งสองครบแค่ไม่ถึง 1 สัปดาห์ก่อนออกเดินทางจวนเจียนมาก

แล้วเหตุการณ์ไม่ขาดฝันก็เกิดขึ้น วันที่ 21 เพื่อน เฟสมาบอกว่าาวีซ่า Schengen  เป็นแบบ Single Entry ตม.บอกว่าถ้าออกแล้วกลับเข้ามาโซนSchengen  ไม่ได้น่ะ 
เอิ่มม......สองคนที่อยู่คนละซีกโลกอึ่งกิมกี่ไปตามๆกัน  เอายังไงดีหละทีนี้ ตอนนั้นตัวเองก็คิดแค่ว่างั้นก็เปลี่ยนแผนเที่ยวในโซน Schenge ไม่ต้องไปอังกฤษ ในขณะที่เพื่อนซึ่งกำลังบินข้ามทวีปอยู่นั้นก็บอกว่า ยังไงฉันก็จะไปอังกฤษ..... ต่างคนต่างคิดแล้วค่อยว่ากัน พอรับเพื่อนจากสนามบินปุ๊ปก็พามาที่พักที่มหาลัยเลย ก็ยังตัดสินใจไม่ได้แต่ตามแผน คือพรุ่งนี้จะเข้าไปเที่ยวในปารีส option นึ่งที่ดูดีและเป็นไปได้คือเลื่อนตั๋วกลับค่ะ แล้วเปลี่ยนจากบินกลับจากปารีสเป็นลอนดอนแทน เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เราจะไปติดต่อที่สายการบินว่าเลื่อนตั๋วได้หรือไม่ 

วันเสาร์เราเข้าเมืองตอนแรกจะพาเพื่อนไปหาโมนาสิซ่า แต่ด้วยความกังวลเรื่องตั๋วเลยต้องพักทุกอย่างไว้ก่อนไปติดต่อสายการบิน Air France เสียเวลาไปครึ่งค่อนวันก็ยังเปลี่ยนไม่ได้คะ (โอ้วเขียนมาตั้งยาวยังไม่ได้ไปไหนเลย) เอาเป็นว่าสั้นๆ ในที่สุดก็เปลี่ยนตั๋วขากลับเป็น London-BKK แทนปารีสคะโดยให้เจ้าหน้าที่ Air France ที่เมืองไทยเป็นคนจัดการให้ และขยายเวลาเที่ยวเป็นสามอาทิตย์ ลอนดอนที่จองตั๋วเครื่องบินLow-cost ไว้เป็นต้องทิ้งทั้งหมดค่ะ เปลี่ยนไม่ได้ ขายต่อคนอื่นก็ไม่ได้ ส่วนที่พักยังพอเลื่อนได้ สุดท้าย plan ก็ถูกเปลี่ยนมาเป็น ปารีส-เบลเยี่ยม-อิตาลี่-อังกฤษ แทนคะ

หมดปัญหาเรื่องตั๋วและวีซ่า ก็มาเจอกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บค่ะ วันแรกที่เพื่อนมาถึงเลขตัวเดียวเลยคะ เสื้อผ้าที่เพื่อนเอาติดตัวมาก็ไม่พร้อมเพราะตอนแรกบอกเพื่อนว่าน่าจะสิบกว่าๆนิดๆ นี่ปาไปเกือบ 0 องศา ปีนี้ฝรั่งเค้าบอกว่ามันเป็น Coldest March หนาวกันไปคะงานนี้ มีเสื้อกี่ตัวๆ ขนมาให้เพื่อนใส่หมดเพราะยังปรับตัวไม่ได้ ทริปสามอาทิตย์นี้มีอะไรให้เล่าเยอะคะ เอารูปมาเรียกน้ำย่อยไปก่อน เดี๋ยวจะรีบเขียนที่เหลือตามมาคะ







Saturday, September 21, 2013

ตอนแปด: ลุยต่อที่ Cologne และ Amsterdam (part 2)

จุดหมายปลายทางต่อไปของเราคือประเทศเนเธอร์แลนด์ค่ะ (ประเทศที่ห้าแล้วน้าา) แน่นอนว่าเราจะไปเมืองหลวงกันคะ เมืองที่ขึ้นชื่อว่าเสรีมาก ทั้งกัญชาและเรื่องsex แต่นั้นไม่ใช่จุดประสงค์ของเราคะ อย่างที่เคยบอกไว้ว่าสิ่งที่อยากไปเห็นที่เนเธอร์แลนด์ก็คือประตูที่กั้นน้ำทะเล เพราะประเทศนี้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล แต่ด้วยความที่คิดไปเองว่ามา Amsterdam ก็คงมีให้ดูมั้งไม่ได้ทำการบ้านไป เลยไปไม่ถึงฝันไม่ได้ดูเพราะไม่รู้มันอยู่ไหน
เอาหละคะหลังจากที่เรานั่งรถไฟเที่ยว 9 โมงเช้าจาก Cologne เราก็มาถึงเมืองหลวงของประเทศเนเธอร์แลนด์แล้วคะใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าๆ  ด้วยรถไฟความเร็วสูงของเยอรมันที่เรียกว่า ICE หลังจากที่อยู่ในบรรยากาศอึมครึมมาหลายวัน  วันนี้ Amsterdam ก็ต้อนรับเราด้วยแสงแดดคะ (ดีใจฝุดๆคว้ากล้องแทบไม่ทัน) 
ลานจอดจักรยาน, รูปคู่ที่คุณลุงอุสาภ่ายให้, รถไฟ ICE, โรงแรมที่พัก และสถานีรถไฟ Amsterdam Centraal

ออกจากสถานีรถไฟมาเราก็เจอนี่เลยค่ะที่จอดรถจักรยานเยอะมากจริงๆ แค่อาคารก็เท่ห์แล้ว จุดหมายปลายทางที่แรกก็คือที่พักคะยังเช็คอินไม่ได้ตามเคยแต่ขอเอากระเป๋าไปฝาก ก่อนที่จะออกไปเดินเล่นในเมืองกันคะ ที่นี่มีรถรางทั่วทั้งเมืองค่ะ แนะนำว่าควรจะนั่งเป็นอย่างยิ่งเพราะ Amsterdam นี่ไม่เล็กเลยคะ สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ๆ ก็อยู่กันคนละทิศละทางกระจายทั่วเมือง แต่มารู้ตัวก็ตอนเดินไปซะเยอะแล้ว ตั๋วรถรางหรือรถtram ที่นี่เหมาเป็นวันค่ะ 24 หรือ 48 ชั่วโมงก็แล้วแต่จะเลือก ซื้อได้เลยเวลาขึ้นไปบนรถคะแล้วอย่าลืม validate ตั๋วด้วยนะ แต่เราเลือกที่จะซื้อตั๋วเป็นเที่ยวๆไปค่ะ unlimited ภายใน 1 ชั่วโมง 2.7 euro แทนเพราะหลงเดินไปตั้งเยอะแล้วซื้อแบบ 24 ชั่วโมงก็ไม่คุ้มแล้วก็เลยเลือกแบบนี้ดีกว่า 

เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องเสรีในการใช้กัญชา เพื่อนที่มาด้วยกันเคยบอกก่อนมาว่ากัญชากลิ่นเห็มนมาก ถามว่ากลิ่นเป็นยังไงเพื่อนก็อธิบายไม่ถูก จนมาถึงที่ Amsterdam รู้เลยคะ ว่ากลิ่นกัญชานั้นเป็นยังไง เพราะเดินไปมุมไหนก็มีแต่กลิ่นประหลาดๆน่าปวดหัวมาเตะจมูก จนบางทีทนไม่ไหวต้องหลบเข้าไปในโบสถ์
บรรยกาศใน Amsterdam และ Dam Square

เสน่ห์ของที่นี่ก็คือคลองที่ไหลผ่านเข้ามาในตัวเมืองนี่หละเพราะทำให้มีสะพานสวยๆเยอะเลย จากที่พักเราเดินมาเรื่อยๆจนถึงจัตุรัสกลางเมือง Dam Square ก่อนที่เพื่อนอีกคนจะถูกดูดเข้าไปในร้าน H&M ที่มีป้าย Sale สีแดงๆทั้งร้าน สวนตัวเองก็ยืนถ่ายรูปรออยู่ด้านนอกคะฟ้าเริ่มไม่เป็นใจอีกแล้วครึ้มมาเชียว วันนี้ที่หมายของเราคือ พิพิธภัณฑ์ Rijksmuseum แต่ไม่ได้จะไปดูอะไรข้างในนะ แค่จะไปถ่ายรูปป้าย I am sterdam เท่านั้นเอง ตอนแรกกะจะเดินไปค่ะ แต่พอดูจากแผนที่แล้วบวกกับระยะทางที่เดินมา ก็เลยลงความเห็นกันว่านั่งรถ tramดีกว่า เดินไม่ไหวแล้ว มาถึงที่หมายแล้วค่ะ แต่สระน้ำที่อยู่หน้าป้ายโดนเปลี่ยนเป็นลานสเก็ทน้ำแข็งไม่แล้วเซรงเลยถ่ายภาพไม่สวยเลย คนเต็มไปหมด เราก็พยายามแทรกตัว รอคิวเข้าไปถ่ายกับป้าย เสร็จสิ้นภาระกิจก็กลับเข้าไปในเมืองค่ะ ก่อนที่จะเดินหลงทางอยู่พักใหญ่เพราะว่าพอเดินไปในทางที่ไม่มีคลองขนาบเราก็เริ่มงงกับแผนที่ ถามทางคนแถวนั้นก็เอิ่มเมาไปซะแล้วคุยไม่รู้เรื่อง จนในที่สุดก็งมกลับมาโผ่ลเส้นทางที่พอจับทิศได้ก็เดินต่อไปได้แล้วคะ

คืนนี้เราจะไปเดินย่าน red light district คะย่านที่มีผู้หญิงในตู้กระจกไฟสีแดงๆ แต่ตอนนี้ไปหาอะไรกินกันก่อนสังเกตุมาทั้งวันที่นี่ร้านอาหารไทยเยอะมากเราก็เลยเข้าร้านอาหารไทยกัน คนเยอะมากได้รับความนิยมจริงๆอาหารไทยเนี่ย แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้พูดภาษาไทยตอนสั่งอาหารดีใจจริงๆ (ปกติเข้าร้านเอเชียต้องให้เพื่อนคนจีนพูดภาษาจีนสั่งให้)เดินย่าน red light district ก็ระวังๆนิดนึง แต่เราก็ไม่เจออะไรน่ากลัวซักเท่าไหร แต่จะมีพวกผู้ชายเดินกันเป็นกลุ่มเยอะแอบน่ากลัว ไม่ได้ถ่ายรูปสาวๆที่ยืนโชว์ในตู้แดงมาเพราะเค้าห้ามถ่ายรูป ก็เปิดหูเปิดตาเดินเล่นซักพักเราก็กลับที่พักคะไม่อยากอยู่ดึกมาก เพราะพรุ่งนี้เราจะไปเมืองที่มีกังหันลมกันคะ ชื่อว่าเมือง Zaanse Schans (อ่านไม่ออก ซาน์ ซคานส์ ...)
อาหารไทย และย่าน Red light district
เช้าวันรุ่งขึ้นเราจะไปเมืองที่มีกังหันลมกันค่ะ ตอนแรกเข้าใจมาตลอดว่ามันอยู่ที่ Amsterdam แต่จริงๆแล้วต้องนั่งรถไฟออกไปนอกเมืองลงที่สถานี Koog-Zaandijk ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงคะ แล้วก็เดินต่อจากสถานีรถไฟประมาณ 10-15 นาทีก็ถึงย่านที่มีกังหันลมตั้งเรียงกันริมน้ำแล้วคะ ตอนออกมาทีแรกเราก็งงว่าจะเดินไปทางไหนแต่ก็ไม่ต้องกลัวคะ เดินตามกลุ่มนักท่องเที่ยวไปเลยไปที่เดียวกันชัวร์ (เราแอบเดินตามกลุ่มคนจีนไปคะเหอๆ) ระหว่างทางที่เดินหอมกินโกโก้มากเพราะเดินผ่านโรงงานผลิตช๊อกโกแล็ตพอดี เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆคะ เค้าทำเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้เราสามารถเดินชมได้อย่างสะบาย แล้วนอกจากกังหันลมก็มีร้านที่เป็นพิพิธภัณฑ์ ทำชีสแล้วก็รองเท้าไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ 

พึงรู้ว่ากังหันลมที่ตั้งอยู่ริมน้ำใช้ประโยชน์จากแรงลมในการตัดไม้ แต่ถ้าจะเข้าไปชมข้างใต้กังหันลมต้องเสียค่าชมด้วยนะประมาณ 3 ยูโร เราเลยเดินดูรอบๆเฉยๆคะ แวะร้านที่มีรองเท้าไม้ซึ่งในร้านเป็นกึ่งพิพิธภัณฑ์ มีประวัติให้ชมตั้งแต่รองเท้ารุ่นแรกๆ แต่รองเท้าไม้นี่แข็งและหนักจริงๆ 
เครื่องโยกแผนที่, แพะที่อยู่ในฟาร์ม แล้วก็ร้านรองเท้าไม้
 สองวันสุดท้ายที่ Amsterdam ผ่านไปอย่างราบรื่นมาก หลังจากที่ผจญภัยมาสองเมืองก่อนหน้านี้ เรากลับเข้า Amsterdam ในตอนบ่ายเก็บตกจุดที่เหลืออีกนิดหน่อยก่อนจะนั่งรถไฟกลับปารีสในตองหัวค่ำคะ ลากันด้วยภาพแสงไฟยามค่ำคืนที่ Amsterdam แล้วไว้มาตามกันต่อ ประเทศต่อไปอิตาลีคะ


Friday, September 13, 2013

ตอนแปด: ลุยต่อที่ Cologne และ Amsterdam (part 1)

หลังจากที่เราเดินทางมาเป็นเวลานานพอสมควร เราก็มาถึงโคโลนจ์ ประเทศเยอรมันนีเป็นที่เรียบร้อย กว่าจะถึงที่นี่ก็ปาไปห้าโมงกว่าแล้วคะ เราแวะที่ information center ก่อนเหมือนเคยเพื่อขอแผนที่และให้เค้าช่วยแนะนำร้าาอาหารให้ ขอแผ่นที่ๆ นี่เสียเงินด้วยคะ ประมาณ 1€ได้ ได้ข้อมูลแล้ว เราก็ตั้งใจว่าจะไปร้านน้ำหอม 4711อันเลื่องชื่อของที่นี่เป็นอันดับแรก ก่อนที่ร้านจะปิดค่ะ เราเสียเวลาในการงมแผนที่ๆได้มาอยู่นานค่ะ กว่าจะเข้าใจเพราะชื่อถนนที่เยอรมัน (หรือแค่ที่เมืองนี้) ยาวมากกกกก กว่าจะอ่านออกว่าอะไรคืออะไรก็เสียเวลาไปเยอะ เดินมาตามทางซักพักเราก็เจอจุดเสียเวลาที่สองค่ะ นั้นคือป้าย SALE สีแดงๆระลานตาเต็มไปหมด ที่นี่ยังไม่หมดช่วงsale หรือนี่ โดนดูดเข้าไปร้านนั้นที ร้านนี้ทีแต่ด้วยความที่เป้ใบใหญ่ติดหลังอยู่เลยไม่ค่อยสนุกเท่าไหร ปล่อยให้น้องอีกคนเพลิดเพลินไป ก่อนที่จะหักห้ามใจแล้วมุ่งหน้าต่อไปร้าน 4711 กันค่ะ เดินทะลุถนนสายshopping มาเราก็มาเจอแยกที่งงอีก เพราะชื่อบนป้ายถนนกับในแผนที่มันงง(เพราะมันยาวแล้วเค้าย่อค่ะเลยหาไม่เจอ)ตอนนี้เริ่มมืดแล้วค่ะ แสงเริ่มไม่มีแล้วมองไม่เห็นเข้าไปใหญ่ ยืนงมอยู่ซักพัก ก็มีคุณยายเดินเข้ามาถามเป็นภาษาอังกฤษว่าจะไปไหน เราก็บอกว่าจะไปร้าน 4 7 1 1 (four seven one one) คุญยายงงค่ะ ว่าคืออะไรเราก็อธิบายว่าร้านน้ำหอมดังๆของที่นี่ คุณยายนึกซักพักแล้วตอบมาว่า อ๋อออออ (forty-seven eleven) หนะเหรอ แป่วว เราอ่านผิดนี่เอง 
แล้วคุญยายก็ชี้ทางให้เราแล้วก็บอกว่ารีบไปเร็วๆ เร่งเลยๆ เราขอบคุณแทบไม่ทันรีบวิ่งข้ามถนนมาก่อนที่สัญญาณไฟคนข้ามจะแดง (ตกลงคุญยายลุ้นว่าเราจะข้ามไม่ทันหรือร้านจะปิดกันแน่)
บรรยายกาศย่าน shopping และร้านประจำเมือง 4711

เรามาถึงร้านในที่สุดคะ ร้านยังไม่ปิดโชคดีมาก เข้ามาถึงก็เดินดูน้ำหอมค่ะราคาถูกมว๊ากก สิบกว่ายูโร เทียบกับน้ำหอมในปารีส ขวดละ 30-XXX ยูโรหนะ แต่มันไม่เหมือนกันก็ตรงความเข้มข้นและติดทนนาน อันนี้แป๊บเดียวก็จางแล้วค่ะ แต่ที่ประทับใจคือวิธีที่พนักงานเค้าสาทิตการใช้น้ำหอมให้ดู ในร้านจะมีก๊อกน้ำอันใหญ่ๆอยู่มีน้ำแห่งเมืองโคโลจ์นไหลออกมา เค้าก็เทสให้เราดูด้วยการเอามือแตะน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกแล้วก็ทาไปที่จุดที่จะรับกลิ่นได้ดีค่ะ จำได้แค่ว่ามี ที่คอ หน้าผาก หลังใบหู แล้วก็.... เราก็ซื้อของที่ร้านติดไม้ติดมือมาฝากเพื่อนๆที่ไทยค่ะ แล้วก็ออกจากร้านเพื่อไปหาโรงแรมที่เราจะพักคืนนี้ แล้วค่อยออกมาหามื้อเย็นทานกัน
อาหารเยอรมันอีกซักรอบ และเมืองยามมืดค่ำ
ก็อีกเช่นเคยยังต้องงมทางแบบงงๆไปค่ะ เพราะยังไม่ชินกับซื้อถนน แม้จะเปิด street view ดูก่อนมาก็ตาม คราวนี้งงจริงๆ ก็ถามทางคนแถวนั้นมาเรื่อยๆ จนเจอค่ะ อย่างที่บอกว่าคนเยอรมันนั้น nice กว่าคนปารีสเป็นไหนๆ ขนาดคุณยายเมื่อกี้ยังพูดกับเราเป็นภาษาอังกฤษเลยแถมเข้ามาช่วยเราก่อน ซึ่งหาแบบนี้ไม่ได้ในปารีสหรอกค่ะ ไม่รู้ทำไม สุดท้ายเราก็เจอที่พักของเรา เก็บกระเป๋าพักร่างซักพัก เราก็ออกมาหาอะไรกินตามร้านที่ เค้าแนะนำเรามาค่ะ ก็น้องที่มาด้วยกันยังไม่เคยมา เยอรมันก็เลยพาไปจัด ขาหมูเยอรมันกับเบียร์ซักหน่อยค่ะ 


เนื่องจากว่ามันผิดแผนจากที่เราวางแผนว่าจะเที่ยวในโคโลน์ตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ ก็ทำไม่ได้ จะไปพรุ่งนี้เช้าแทนก็ไม่ทันค่ะ เราเลยต้องไปกันตอนค่ำหลังกินข้าวเสร็จแทน  ทีแรกแอบคิดกันว่าเราเลื่อนตั๋วรถไฟดีมั้ย พรุ่งนี้เช้าจะได้เที่ยวที่นี่แล้วค่อยไปประเทศที่5 เนเธอร์แลนด์ แอบคิดว่าตอนที่เราตกรถไฟแล้วมาขึ้นอีกขบวนคนละเวลายังทำได้เลยๆ จะใช้มุกเดิมจะได้มั้ย (แหๆขี้โกง) แต่ไปถามเจ้าหน้าที่ดู เค้าบอกว่าตั๋วไป Amsterdam เลื่อนไม่ได้หรอก เพราะซื้อมาแบบราคาโปรโมชั่น ยังไงก็ต้องไปเวลานี้ ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทำไม่ได้ แต่ตอนนี้คิดว่าน่าจะเป็นเพราะ รถไฟที่เราตกเป็น intercity คือวิ่งระหว่างเมืองในเยอรมันเอง เลยไม่เป็นไร แต่รถที่จะไปเป็นรถไฟความเร็วสูงระหว่างประเทศเลยทำแบบนั้นไม่ได้ สุดท้ายเราก็ตัดใจไม่เสี่ยงทำแบบที่คิดไว้ค่ะ เพราะฉะนั้น ต้องออกไปท่องราตรีกันแล้วว
โฮไลท์ของที่นี่เล่งอยู่นานมาก
เป็นผู้หญิงสองคนออกมาค่ำๆมืดๆ ก็ต้องระวังตัวมองซ้ายมองขวาค่ะ เพราะมันมืดและเงียบมาก ไม่ค่อยมีคน จุดไฮไลท์ที่นี่ก็เป็นโบสถ์ Cologne Cathedral ที่สูงม๊ากมากค่ะ ถอยไปไกลมากกว่าจะเก็บได้ทั้งตัวโบสถ์ แถมต้องเอียงกล้องอีก อีกที่ๆอยากไปถ่ายรูปมากคือ สะพานที่อยู่คู่กับ Cologne Cathedral เราต้องเดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งแล้วถ่ายรูปกลับมาระหว่างเดินบนสะพาน Hohenzollern Bridge ก็มีกุญแจล๊อคเต็มเลยค่ะ เยอะมาก สะพานนี้ก็ยาวมากด้วย ขยันล๊อกกันทุกที่ทั่วโลกจริงๆ อยากรู้ใครเป็นคนเริ่มเนี่ย
เราใช้เวลาคืนนั้นเก็บภาพจุดต่างๆในเมืองค่ะ ก่อนที่เช้าเราต้องลาแล้วแค่นี้คะ โคโลจ์น
ร้านขายของที่ระลึกน่ารักๆ แต่ปิดซะแล้ว, สถานีรถไฟที่โคโลจ์น
ขออนุญาติยก Amsterdam ไปเป็น part ที่สองหละกันนะ เขียนไม่ทันจริงๆภาระกิจเยอะ 

Friday, September 6, 2013

ตอนเจ็ด: ลักเซมเบริก์ Luxembourg

หลังจากที่เริ่มเรียนอย่างจริงจังมาพักใหญ่ วันหยุดยาวก็มาถึงคะ เข้าช่วงคริสต์มาสแล้ว ลมหนาวเริ่มมาเยื่อน อณุหภูมิลดต่ำลงเรื่อยๆ เริ่มเผชิญกับอากาศอันหนาวเหน็บ (ต่ำสุดที่เจอมาคือ -6 องศา) และท้องฟ้าขมุกขมัว แต่เป็นโอกาสดีที่ได้เห็นหิมะตกครั้งแรกในชีวิตคะ เล่นหิมะซะจนมือชา น้ำมูกไหล จมูกแดง ลำบากที่สุดก็ตอนหลังหิมะตกแล้วอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นคะ หิมะเริ่มละลาย ถนนพื้นเฉอะแฉะ หิมะสีขาวๆ ก็เริ่มเปรอะเปื้อน เดินลำบากทั้งลื่นทั้งเปียก ยิ่งเวลาน้ำเข้ารองเท้าทรมานสุดๆ หนาวก็หนาวเปียกก็เปียก อีกอย่างที่ไม่ชอบคือฝนคะ อากาศที่หนาวอยู่แล้วเจอฝนเข้าไปอีกยิ่งหนาวเกินบรรยาย เป็นอุปสรรคต่อการถ่ายรูปอย่างมาก ที่เกรินมาทั้งหมดนี้ เพราะจะบอกว่านี่คือสภาพอากาศที่เราต้องเจอตลอดทริปนี้คะ

อย่างที่รู้กันคะช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ที่นี่หยุดยาวกันร่วมๆ สองสัปดาห์ได้ แน่นนอนเราก็ต้องว่างแผนเที่ยวสิคะ จะอยู่เหงาๆในหอคนเดียวก็ยังไงๆ อยู่ รอบนี้ไปทีเดียว 3 ประเทศเลยคะ  Luxembourg-Cologne (Koln)-Amsterdam สามประเทศนี้มีพรมแดนติดกันคะเดินทางด้วยรถไฟสะบาย ทริปนี้มีผู้รวมเดินทางด้วยกันสองคนคะ เป็นรุ่นน้องที่มาจาก AIT ด้วยกัน เราใช้เวลาว่างแผนทริปนี้ล่วงหน้าไม่นานนักคะ โดยเราจะเริ่มจากการไปฉลองคืนวันขึ้นปีใหม่ในปารีส จากนั้นเช้าวันที่ 1 เราจะขึ้นรถไฟจากปารีสไปที่ Luxembourg ค้างคืนที่นั้น 1 คืนแล้วสายๆก็เดินทางต่อไป โคโลจ์น พักที่นี่อีก 1 คืน แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็ไป Amsterdam อยู่ที่นี่อีก 1 คืนก่อนกลับฝรั่งเศสคะ การเดินทางครั้งนี้ก็ยังใช้รถไฟเป็นหลัก มีบางช่วงที่ต้องเปลี่ยนเป็นบัส เพื่อประหยัดงบประมาณคะ 

วันที่ 31 ธันวา 2012 ในปารีส
ทุกคนคงจำได้คืนวันที่ 31 ธันวาเราก็จะได้ดูข่าวการจุดพลุ count down ของประเทศต่างๆทั่วโลก แน่นอน ปารีสก็เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ๆที่มีการถ่ายทอดภาพบรรยากาศมาให้เราดู สวยงามอลังการมาก ปีนี้มีโอกาสได้มาฝรั่งเศส การไปดูพลุที่หอไอเฟลก็คงไม่ไกลเกินเอื่อม เราก็ออกจากมหาลัยกันตั้งแต่เช้าวันที่ 31 ท่ามกลางกระแสที่ลือกันหนาหูว่าปีนี้งดจุดพุลฉลองปีใหม่ที่หอไอเฟล ในใจก็คิดว่าไม่จริงเป็นไปไม่ได้มันจะไม่จุดได้ไง นักท่องเที่ยวแห่มารอกันทั่วโลก หอไอเฟลเลยนะจะไม่จุดได้ไง ก็ไม่เชื่อคะ ทั้งเพื่อนคนไทยเพื่อนต่างชาติบอกเราก็ไม่เชื่อ ใกล้จะเที่ยงคืนแล้วคะคนก็ยังออกไปตามจุดต่างๆทั้งถนน Champs Elysee ไอเฟล เราเลือไปจุดที่อยู่ห่างจากหอไอเฟลคะแต่สามารถมองเห็นตัวหอได้ชัดเจนแล้วถ้ามีการจุดพลุเราก็จะเห็นอย่างแน่นอน เราก็ไปรวมตัวกับเพื่อนคนไทยอีกสองคนแล้วนั้งเมโทรไปจนถึงจุดที่เราคิดว่าจะมองเห็น ฝนตกพล่ำๆ พร้อมอากาศหนาวเย็น ใกล้เวลาเที่ยงคืนแล้ว เราก็ดูนาฬิกาใกล้เวลาแล้ว ..3..2..1.... เสียงแตรรถที่วิ่งผ่านไปมาปีบกันใหญ่ คนออกมาจากหน้าต่างห้องตัวเองตะโกนว่า BONNE ANNEE พร้อมกับไฟหอไอเฟลที่กระพริบและวิ่งสว่างไปทั่วทั้งหอไอเฟลคะ ประมาณห้านาทีได้ แค่นั้น…จบ.. มีเสียงพลุประปลายของชาวบ้านแถวนั้นที่จุดกันเอง โอ้วไม่อยากจะเชื่อไม่มีพุลจริงๆด้วยเป็นไปได้ไง หืออแอบผิดหวังคะไม่คิดว่าจะไม่มีจริงๆ ไม่น่าเชื่อ แล้วเราก็กลับไปฉลองกับกลุ่มเพื่อนๆคนไทยด้วยกัน กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสี่แล้ว พรุ่งนี้ขึ้นรถไฟ แปดโมงเช้าาา ได้นอนแค่สามชั่วโมง ไว้ไปนอนต่อบนรถหละกัน 

พูดถึงรถไฟ ในปารีสมีสถานีรถไฟใหญ่ๆ ที่ต่อออกไปตามหัวเมืองต่างๆหลายที่คะ จะไปแต่ละที่ก็ต้องดูให้ดีว่าต้องไปขึ้นที่ไหนคะ เพราะไม่ได้มีแค่หัวลำโพงอย่างเดียวเหมือนบ้านเรา เช่นรถไฟที่วิ่งไปทางตอนเหนือ หรือประเทศอื่นที่อยู่ทางเหนืออย่าง เบลเยี่ยม อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ก็จะต้องไปขึ้นที่ Gare du Nord (การ์ ดู นอร์ด) ถ้าไปเมืองทางตอนเหนืออย่าง Normondie ที่เราไปมา ก็ต้องไปขึ้นที่ Gare de St. Lazar ส่วนถ้าใครจะลงใต้ไปเมืองชายทะเล และอีกหลายๆ เมืองที่อยู่ใต้ปารีสก็ต้องไปขึ้นที่ Gare de Lyon (การ์ เดอ ลียง) แล้วก็ยังมี Gare de l’est, Gare d’Austerlitz และ Gare Montparnasse ซึ่งไม่เคยได้ไปขึ้นเหมือนกัน สถานีเหล่านี้กระจายตัวอยู่ในปารีสคะซึ่งรถไฟใต้ดินเชื่อมถึงกันหมด  

สำหรับการไป Luxembourg ครั้งนี้เราต้องไปขึ้นรถไฟที่  Gare de St. Lazar ขึ้นรถไฟปุ๊บก็เตรียมหลับเพราะตาจะปิดอยู่แล้วคะ นอนไปสามชั่วโมงเองแต่ด้วยหัวใจนักเดินทางเราก็ไม่สามารถหลับตาลงได้ถ้ายังไม่ได้เห็นวิวข้างทางของสถานที่ๆไม่เคยไป จากปารีสไปลักเซมเบิรก์ใช้เวลาสองชั่วโมงเศษๆคะ เราเตรียมมือเช้าไปนั่งกินบนรถไฟชิวๆด้วย 

เช้าอันเงียบสงบ 1 ม.ค. 2013 ที่ Luxembourg

นั่งหลับๆตื่นๆบนรถไฟสุดท้ายเราก็มาถึงประเทศที่สี่ของเราคะ Luxembourg ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมัน ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดในโลก ปกครองด้วยระบบราชาธิปไตย มีกษัติย์เป็นประมุข ภาษาที่ใช้ก็ไม่พ้นฝรั่งเศสกับเยอรมันคะ ว่าแต่ไม่ได้ถ่ายบรรยากาศบนรถไฟกับสถานีรถไฟที่นี่เลยไม่รู้ทำไม สงสัยเมาขี้ตาอยู่ อิๆ
ก่อนออกจากสถานีรถไฟเราแวะที่ information center เพื่อขอข้อมูล แผ่นที่แล้วก็ถามว่าท่าที่จะขึ้นรถบัสอยู่ที่ไหน เพราะพรุ่งนี้เช้าเราจะต้องนั่งบัสไปโคโลนจ์คะ โดยต้องไปขึ้นที่ Royal Quai 4 ได้พิกัดเป็นที่เรียบร้อยเราก็เดินจากสถานี้รถไฟไปที่พักเอากระเป๋าไปฝากแล้วเดินเที่ยวในเมืองกันคะ 

ทริปเล็กๆน้อยๆ เวลาไปเที่ยวเรามักจะเลือกที่พักที่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากเพราะสะดวกอีกทั้งก็จะเปิด google street view ดูว่าระยะทางมันเดินได้จริงตามที่โฆษณาไว้มั้ย ซึ่งได้ผลดีมากคะและไม่เคยหลงเลย 

ลักเซมเบิรก์ต้อนรับเราด้วยความเงียบ และฟ้าครึ้มๆ เราไปถึงก็เกือบ 11 โมงแล้วแต่ด้วยความที่เป็นเช้าวันปีใหม่ ทุกคนคงฉลองหนักกันแน่นๆเมื่อคืน เลยยังไม่มีคนบนท้องถนนซักเท่าไหรร้านค้าก็ปิดเงียบ เราเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ตามจุดต่างๆที่เจ้าหน้าที่แนะนำเรามาคะ ลักเซมเบิรก์เป็นเมืองที่มีภูมิประเทศเป็นหุบเขาคะ ในเมืองก็จะมีสองส่วนพวกสถานที่ราชการสำคัญๆ ก็จะอยู่ด้านบนคะ ส่วนด้านล่างก็จะเป็นบ้านคนร้านอาหาร สำนักงาน ส่วนย่านสถานีรถไฟและที่ๆ เราพักถือเป็นย่านเมืองใหม่คะ จากจุดนั้นเราเดินข้ามสะพานมายังส่วนที่เป็นเมืองเก่าที่มีลักษณะอย่างที่บอก เราเริ่มสำรวจจากด้านบนก่อนคะ เดินมาเรื่อยๆจนถึงพระราชวังที่กัษตริย์ของที่นี่อาศัยอยู่ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับประชาชนมาก เพราะมีแค่ถนนเส้นเล็กๆ อยู่ด้านหน้าซึ่งอีกฝั่งเป็นร้านขายของที่ระลึก แล้วก็มีทหารยืนเฝ้าทางเข้าแค่ไม่กี่คน 
พระราชวังในเขตเมืองเก่า 
มาถึงจุดนี้ฝนเริ่มโปรยปรายคะ เราทั้งคู่เริ่มหนาวจนทนไม่ไหวคงต้องหาที่หลบ ได้โกโก้ร้อนซักแก้วจะฟินมาก แล้วเราก็หันไปเห็นร้าน chocolate ที่อยู่ด้านหน้าพระราชวัง แพงรึเปล่าไม่รู้แต่ตอนั้นไม่ไหวแล้วคะขอหลบเข้าไปพักก่อน เข้ามาแล้วก็ไม่ผิดหวังคะเพราะช็อคโกแล๊ตร้อนที่นี่ไม่ธรรมดาไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน เข้ามาในร้านทีแรกก็งงคะบอกคนขายว่าจะเอาช็อคโกแล๊ตร้อน เค้าก็บอกว่าเลือกรสที่ชอบเลย แล้วเค้าก็ชี้ไปที่ชั้นวางที่เต็มไปด้วยช็อคโกแล๊ตก้อนๆที่มีช้อนไม้เสียบอยู่ มีรสให้เราเลือกมากมายหลายรส หลังจากเลือกได้แล้วก็หยิบไปให้เค้าคะ เค้าบอกว่าถือไว้แล้วไปนั่งรอที่โต๊ะเลย ซักพักเค้าก็เอานมร้อนๆแก้วใหญ่มาเสริฟ เราแอบสังเกตจากโต๊ะข้างๆ วิธีกินก็ไม่ยากเอาช็อคโกแล๊ตจุ่มลงไปในนมเลยคะ ค้นๆจนมันละลายเราก็ได้ช็อคโกแล๊ตร้อนอันแสนจะเข้มข้น อากาศหนาวๆแบบนี้ไปกินอะไรร้อนๆ นี่มันฟินสุดๆ เต็มพลังจนพร้อมออกไปสู้กับอากาศหนาวอีกรอบเราก็ออกจากร้าน มาถ่ายรูปหน้าร้านเป็นที่ระทึก ว่าร้านนี้ recommend จ้า แล้วเราก็เดินเที่ยวต่อไปยังจุดที่เป็นเมืองเก่าที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (อีกแล้ว)  
นี่หละคะลักษณะของเมืองที่อย่างที่บอกเหมือนเค้าจะเรียกกันว่าเมืองสูงกับเมืองต่ำ เดี๋ยวหลังจากนี้เราจะเดินลงไปสำรวจด้านล่างกันคะ ตอนเดินลงก็สนุกอยู่นะแต่ไม่อยากจะคิดถึงตอนเดินขึ้นเลย ไม่มีอะไรเปิดให้ดูเท่าไหรคะมันเป็นวันหยุดนี่หน่าก็ได้แต่เดินดูข้างนอกคะ บางช่วงก็มีแดดออกมาให้เราดีใจถ่ายรูปได้แล้วซักพักฝนก็โปรยลงมา เราเดินเที่ยวโซนเมืองเก่าจนเย็นก่อนจะข้านสะพานกลับมาเพื่อเก็บภาพแสงไฟยามค่ำคืน หาอะไรกินก่อนเข้าโรงแรมที่พักคะ วันนี้จบเร็วหน่อยเพราะหมดแรงแล้วคะจำได้ว่านอนไวมาก สามทุ่มได้ ลิฟท์โรงแรมที่ไปพักเล็กมากเลย เข้าได้สองคนพอดิบพอดี เรายังคงพักโรงแรมแบบห้องพักได้สองคนพร้อมอาหารเช้ายังไม่ได้ใช้บริการ hostel คะ 

เขตเมืองต่ำ ด้านล่างของเมือง
เช้าวันถัดมาเรามีเวลาเก็บตกอีกนิดหน่อยก่อนขึ้นรถบัสตอน 11โมง แล้วไปเปลี่ยนรถไฟที่เยอรมันอีกสองต่อเพื่อไปเมืองโคโลนจ์ วิธีอื่นก็คงมีแต่เราเห็นตั๋วราคาไม่แพงเลยจองไปคะ ปรากฎว่ามันต้องมาเปลี่ยนหลายต่อแบบนี้นี่เองมิน่าหละ เราลงมาทานมื้อเช้าแล้วก็ทำแซนวิชไว้เผื่อมื้อกลางวันด้วยคะเอาไว้กินบนรถ ขณะที่เราทานมื้อเช้ากันอยู่ก็มีคุณยายคนนึ่งเดินดูอาหารเช้าแล้วก็ทำท่าไม่พอใจบ่นอะไรพึมพำ เราก็ไม่ได้สนใจอะไรคะ จนน้องที่มาด้วยกันลุกไปหยิบของแล้วเห็นคุณยายคนนั้นทำท่าหาอะไรซักอย่างด้วยความที่มีน้ำใจก็บอกไปว่าเนยอยู่ตรงโน้น เท่านั้นหละคะงานเข้าเบย คุณยายเปิดประเด็นว่าเนี่ยยูรู้มั้ยพลาสติกพวกนี้มันไม่ดีเลยแย่มากๆเอามาใช้ได้ยังไงแบบนี้ (คืออาหารเช้าที่จัดไว้จะมีพวกแยม เนยเป็นแพ๊คเล็กให้เราหยิบคะ แล้วแก้วน้ำที่ใช้ก็เป็นแบบใช้แล้วทิ้งเข้าใจว่าทางโรงแรมเลือกแบบนี้คงประหยัดต้นทุน แต่คุณยายแกออกแนว green peace คะ) คุยไปคุยมายายแกเริ่มเยอะคะ ขนาดน้องแกล้งทำไม่สนใจเล่นtabletแก่ก็หันมาต่อว่าๆ คุยกับฉันอยู่ก็ห้ามเล่นพวกนี่นะเปลื่องไฟยูไม่รู้เหรอ บรา บรา บรา ยูฟังภาษาเยอรมันรู้เรื่องช่ายมั้ย (ตอนนั้นแกพูดฝรั่งเศสสลับกับอังกฤษ น้องที่มาด้วยกันพูดฝรั่งเศสไม่ได้ก็เออ ออไปตามเรื่อง) ด้วยความที่น้องเออออไปเรื่อยอยู่ก็ดันไปพยักหน้า ด้วยความที่ตัวเองฟังยายรู้เรื่องก็หันไปบอกน้องว่าเอ้าไปพยักหน้าทำไมฟังเยอรมันรู้เรื่องเหรอ ยายแกก็หันมาว่าเราทันทีว่าฉันคุยกับเค้าอยู่เธอจะพูดแทรกทำไม ป่อยย แล้วทีนี้แกรัวเยอรมันมาเป็นชุดเลยคะ เอาแล้วซิชักยาวน้องเริ่มทำหน้าไม่ไหวแล้ว เราคงต้องขัดจังหวะแล้วลากน้องออกมา เราก็พยายามขัดจังหวะอย่างสุภาพว่าขอโทษนะเราสายแล้วต้องไปแล้ว ดันโดนด่ากลับมาอีกว่า ยูไม่มีมารยาทเลยฉันคุยกับเข้าอยู่นะอีกแล้วนะ!! เท่านั้นหละคะ เลิกพอกันทีไม่ทนหละลุกแล้วลากน้องออกมาเลยบอกว่าเราต้องไปหละรถจะออกแล้ว แล้วก็ลุกกันออกมาเลย จะว่าใจร้ายก็ใจร้ายเถอะไม่ไหวจะเครีย หนูก็รักสิ่งแวดล้อมไม่แพ้คุณยายหรอกคะแต่ชีวิตจะเครียดไปมั้ยแบบนี้  

ยามค่ำคืนกับลิฟท์ตัวเล็กๆ


หลุดจากคุณยาย green peace มาได้เราก็เดินกลับเข้าไปโซนเมืองเก่าเพื่อไปดูจุดที่ต้องขึ้นรถบัสคะ แล้วเราก็เจอป้าย Quai 4 ก็โอเคสะบายใจเจอและ แต่ก็เอ๊ะไม่ยักกะมีเลขรถคันที่เราจะขึ้น แต่ก็คงอันนี้หละ ก็ไปเดินเล่น shopping ต่อ ช่วงปลายปีเป็นช่วงsaleคะ เราก็แวะดูของร้านโน้น ร้านนี้ไปเรื่อยจนใกล้เวลารถออก เราก็มารอที่ป้ายคะ จนอีกห้านาทีจะถึงเวลารถออกทำไมไม่มีรถมาซักคัน รถมันเลทเหรอ ก็ไม่น่านะยังไงเนี่ย เลยเดินออกไปริมถนนคะ หันไปเห็นป้าย Royal Quai 1-4 200m หา.... ผิดที่!!!!! อีก 200 เมตรแล้วเลี้ยวซ้ายถึงจะเป็นป้ายรถบัส Royal Quai 4 ที่เราต้องมายืนรอคะ สองคนพี่น้องวิ่งกันไม่คิดชีวิตข้ามถนนตัดหน้ารถอีก แต่วิ่งไปก็ไม่ทันแล้วคะเพราะมันเลย 11โมงไปแล้ว ทีนี้ทำยังไงต่อ ตกรถครั้งแรกในชีวิต ในประเทศที่พึ่งเคยมาครั้งแรกด้วยทำยังไงดีๆ ก็ยืนอึ่ง ไว้อาลัยกันซักพัก ก็มาคิดกันคะว่าเราจะไปยังไงต่อ ดูรอบรถที่ติดอยู่บนป้าย อีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะมีรถ แล้วรถไฟที่เราต้องไปต่อหละจะมีรอบต่อกันเลยมั้ยเพราะซื้อตั๋วมาแล้ว หรือจะกลับไปที่สถานีแล้วซื้อตั๋วใหม่นั่งรถไฟยิ่งยาวไปโคโลนจ์เลยซึ่งก็คงไม่ถูกแน่ๆ เราตัดสินใจหา wifi เพื่อเช็คเที่ยวรถบัส และรถไฟรอบถัดไปคะว่าเวลามันรับกันพอดีมั้ยถ้าได้ก็ไปวิธีเดิม ถ้าไม่ได้คงต้องซื้อตั๋วใหม่ 


มรดกโลกจ้าาา
เช็คเวลาเรียบร้อยสรุปว่าเราจะยังคงไปวิธีเดิมทีนี้ก็เหลือมาลุ้นเอาคะว่าตั๋วที่เรามีอยู่จะไปได้มั้ย เวลาเที่ยงคะรถบัสมาถึงป้ายตรงเวลา ย้ำว่าตรงมากกไม่มีเลทซักนิดไม่แปลกใจที่วิ่งมาแล้วไม่ทัน เราเอาตั๋วให้เค้าดูคะบอกว่ามาไม่ทันคันเมื่อกี้ พูดภาษาอังกฤษกับเค้าไป เค้าตอบเป็นเยอรมันกับมา งงทีเดียว เอาเป็นว่า body language กันไปเลยเวลานี้ คนขับก็ไม่ว่าอะไรคะ เราก็ขึ้นรถบัสมาได้ปกติ บนรถบัสทั้งคันมีคนขึ้นอยู่สองคน เลือกนั่งได้เต็มทีสะบาย นั่งมาได้พักใหญ่ระหว่างทางก็เริ่มมีคนขึ้นบ้างคะแต่เราก็ไม่รู้ว่าเอ๊ะแล้วต้องลงตรงไหน ถึงรึยัง จนคนที่ขึ้นมาทีหลังเค้าทำท่าลงกันเกือบหมด เราก็ลุกตามเค้าไป คนขับก็ใจดีส่งภาษามือมาบอกว่านั่งไปก่อนยังไม่ถึง ก็นึกขำคะว่าต่อให้พูดอังกฤษได้ดีแค่ไหน ณ วินาทีนี้ก็ไร้ความหมายภาษามือโลด จนมาถึงที่หมายคนขับส่งสายตาให้ว่าถึงแล้วลงได้ เราก็ลงคะหันไปเห็นสถานีรถไฟเลย ใจชื้นมาหน่อย เราก็รอรถไฟขบวนแรกที่ต้องเปลี่ยนที่นี่คะ จากสถานีนี้เราก็ต้องนั่งต่อแล้วไปเปลี่ยนอีกที่คะ ทรหดมากใครจองเนี่ย (จองเองอะได้ข่าว) ขึ้นรถไฟมาก็มีคนมาตรวจตั๋วคะซึ่งก็แปลกที่ตั๋วมันใช้ได้แม้จะมาผิดเวลาเหอๆ

แม้จะตกรถก็ยังยิ้มได้
จนในที่สุดเราก็มาถึงคะ โคโลนจ์ต้นกำเนิด น้ำจากเมืองโคโลนจ์ Eau de Cologne 4711 ที่แม่ของเราเคยใช้เมื่อสมัยยังสาว (มารู้ทีหลังตอนเอากลับมาฝากพี่สาวค่ะ พี่บอกว่าแม่ก็เคยใช้ขวดใหญ่กว่านี้อีกซื้อมาได้ขวดแค่เนี่ย)

เดิมแผนที่เราวางไว้เราก็มีเวลาอยู่โคโลนจ์น้อยอยู่แล้วแถมยังตกรถอีก เหลือเวลาเที่ยวนิดเดียวแล้วคะ ไว้มาตามดูกันเราจะเจออะไรบ้างที่เมืองโคโลนจ์

ประสบการณ์ท่องเที่ยวของแต่ละคนต่างกันแม้เราจะไปในสถานที่เดียวกัน (คงไม่มีใคร มีโอกาสได้นั่งรถบัสที่ทั้งคันมีผู้โดยสารแค่สองคนหรอกมั้ง)