อย่างที่รู้กันคะช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ที่นี่หยุดยาวกันร่วมๆ สองสัปดาห์ได้ แน่นนอนเราก็ต้องว่างแผนเที่ยวสิคะ จะอยู่เหงาๆในหอคนเดียวก็ยังไงๆ อยู่ รอบนี้ไปทีเดียว 3 ประเทศเลยคะ Luxembourg-Cologne (Koln)-Amsterdam สามประเทศนี้มีพรมแดนติดกันคะเดินทางด้วยรถไฟสะบาย ทริปนี้มีผู้รวมเดินทางด้วยกันสองคนคะ เป็นรุ่นน้องที่มาจาก AIT ด้วยกัน เราใช้เวลาว่างแผนทริปนี้ล่วงหน้าไม่นานนักคะ โดยเราจะเริ่มจากการไปฉลองคืนวันขึ้นปีใหม่ในปารีส จากนั้นเช้าวันที่ 1 เราจะขึ้นรถไฟจากปารีสไปที่ Luxembourg ค้างคืนที่นั้น 1 คืนแล้วสายๆก็เดินทางต่อไป โคโลจ์น พักที่นี่อีก 1 คืน แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็ไป Amsterdam อยู่ที่นี่อีก 1 คืนก่อนกลับฝรั่งเศสคะ การเดินทางครั้งนี้ก็ยังใช้รถไฟเป็นหลัก มีบางช่วงที่ต้องเปลี่ยนเป็นบัส เพื่อประหยัดงบประมาณคะ
วันที่ 31 ธันวา 2012 ในปารีส |
ทุกคนคงจำได้คืนวันที่ 31 ธันวาเราก็จะได้ดูข่าวการจุดพลุ count down ของประเทศต่างๆทั่วโลก แน่นอน ปารีสก็เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ๆที่มีการถ่ายทอดภาพบรรยากาศมาให้เราดู สวยงามอลังการมาก ปีนี้มีโอกาสได้มาฝรั่งเศส การไปดูพลุที่หอไอเฟลก็คงไม่ไกลเกินเอื่อม เราก็ออกจากมหาลัยกันตั้งแต่เช้าวันที่ 31 ท่ามกลางกระแสที่ลือกันหนาหูว่าปีนี้งดจุดพุลฉลองปีใหม่ที่หอไอเฟล ในใจก็คิดว่าไม่จริงเป็นไปไม่ได้มันจะไม่จุดได้ไง นักท่องเที่ยวแห่มารอกันทั่วโลก หอไอเฟลเลยนะจะไม่จุดได้ไง ก็ไม่เชื่อคะ ทั้งเพื่อนคนไทยเพื่อนต่างชาติบอกเราก็ไม่เชื่อ ใกล้จะเที่ยงคืนแล้วคะคนก็ยังออกไปตามจุดต่างๆทั้งถนน Champs Elysee ไอเฟล เราเลือไปจุดที่อยู่ห่างจากหอไอเฟลคะแต่สามารถมองเห็นตัวหอได้ชัดเจนแล้วถ้ามีการจุดพลุเราก็จะเห็นอย่างแน่นอน เราก็ไปรวมตัวกับเพื่อนคนไทยอีกสองคนแล้วนั้งเมโทรไปจนถึงจุดที่เราคิดว่าจะมองเห็น ฝนตกพล่ำๆ พร้อมอากาศหนาวเย็น ใกล้เวลาเที่ยงคืนแล้ว เราก็ดูนาฬิกาใกล้เวลาแล้ว ..3..2..1.... เสียงแตรรถที่วิ่งผ่านไปมาปีบกันใหญ่ คนออกมาจากหน้าต่างห้องตัวเองตะโกนว่า BONNE ANNEE พร้อมกับไฟหอไอเฟลที่กระพริบและวิ่งสว่างไปทั่วทั้งหอไอเฟลคะ ประมาณห้านาทีได้ แค่นั้น…จบ.. มีเสียงพลุประปลายของชาวบ้านแถวนั้นที่จุดกันเอง โอ้วไม่อยากจะเชื่อไม่มีพุลจริงๆด้วยเป็นไปได้ไง หืออแอบผิดหวังคะไม่คิดว่าจะไม่มีจริงๆ ไม่น่าเชื่อ แล้วเราก็กลับไปฉลองกับกลุ่มเพื่อนๆคนไทยด้วยกัน กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสี่แล้ว พรุ่งนี้ขึ้นรถไฟ แปดโมงเช้าาา ได้นอนแค่สามชั่วโมง ไว้ไปนอนต่อบนรถหละกัน
พูดถึงรถไฟ ในปารีสมีสถานีรถไฟใหญ่ๆ ที่ต่อออกไปตามหัวเมืองต่างๆหลายที่คะ จะไปแต่ละที่ก็ต้องดูให้ดีว่าต้องไปขึ้นที่ไหนคะ เพราะไม่ได้มีแค่หัวลำโพงอย่างเดียวเหมือนบ้านเรา เช่นรถไฟที่วิ่งไปทางตอนเหนือ หรือประเทศอื่นที่อยู่ทางเหนืออย่าง เบลเยี่ยม อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ก็จะต้องไปขึ้นที่ Gare du Nord (การ์ ดู นอร์ด) ถ้าไปเมืองทางตอนเหนืออย่าง Normondie ที่เราไปมา ก็ต้องไปขึ้นที่ Gare de St. Lazar ส่วนถ้าใครจะลงใต้ไปเมืองชายทะเล และอีกหลายๆ เมืองที่อยู่ใต้ปารีสก็ต้องไปขึ้นที่ Gare de Lyon (การ์ เดอ ลียง) แล้วก็ยังมี Gare de l’est, Gare d’Austerlitz และ Gare Montparnasse ซึ่งไม่เคยได้ไปขึ้นเหมือนกัน สถานีเหล่านี้กระจายตัวอยู่ในปารีสคะซึ่งรถไฟใต้ดินเชื่อมถึงกันหมด
สำหรับการไป Luxembourg ครั้งนี้เราต้องไปขึ้นรถไฟที่ Gare de St. Lazar ขึ้นรถไฟปุ๊บก็เตรียมหลับเพราะตาจะปิดอยู่แล้วคะ นอนไปสามชั่วโมงเองแต่ด้วยหัวใจนักเดินทางเราก็ไม่สามารถหลับตาลงได้ถ้ายังไม่ได้เห็นวิวข้างทางของสถานที่ๆไม่เคยไป จากปารีสไปลักเซมเบิรก์ใช้เวลาสองชั่วโมงเศษๆคะ เราเตรียมมือเช้าไปนั่งกินบนรถไฟชิวๆด้วย
เช้าอันเงียบสงบ 1 ม.ค. 2013 ที่ Luxembourg |
นั่งหลับๆตื่นๆบนรถไฟสุดท้ายเราก็มาถึงประเทศที่สี่ของเราคะ Luxembourg ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ ที่อยู่ระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมัน ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอัตราการว่างงานต่ำที่สุดในโลก ปกครองด้วยระบบราชาธิปไตย มีกษัติย์เป็นประมุข ภาษาที่ใช้ก็ไม่พ้นฝรั่งเศสกับเยอรมันคะ ว่าแต่ไม่ได้ถ่ายบรรยากาศบนรถไฟกับสถานีรถไฟที่นี่เลยไม่รู้ทำไม สงสัยเมาขี้ตาอยู่ อิๆ
ก่อนออกจากสถานีรถไฟเราแวะที่ information center เพื่อขอข้อมูล แผ่นที่แล้วก็ถามว่าท่าที่จะขึ้นรถบัสอยู่ที่ไหน เพราะพรุ่งนี้เช้าเราจะต้องนั่งบัสไปโคโลนจ์คะ โดยต้องไปขึ้นที่ Royal Quai 4 ได้พิกัดเป็นที่เรียบร้อยเราก็เดินจากสถานี้รถไฟไปที่พักเอากระเป๋าไปฝากแล้วเดินเที่ยวในเมืองกันคะ
ทริปเล็กๆน้อยๆ เวลาไปเที่ยวเรามักจะเลือกที่พักที่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากเพราะสะดวกอีกทั้งก็จะเปิด google street view ดูว่าระยะทางมันเดินได้จริงตามที่โฆษณาไว้มั้ย ซึ่งได้ผลดีมากคะและไม่เคยหลงเลย
ลักเซมเบิรก์ต้อนรับเราด้วยความเงียบ และฟ้าครึ้มๆ เราไปถึงก็เกือบ 11 โมงแล้วแต่ด้วยความที่เป็นเช้าวันปีใหม่ ทุกคนคงฉลองหนักกันแน่นๆเมื่อคืน เลยยังไม่มีคนบนท้องถนนซักเท่าไหรร้านค้าก็ปิดเงียบ เราเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ตามจุดต่างๆที่เจ้าหน้าที่แนะนำเรามาคะ ลักเซมเบิรก์เป็นเมืองที่มีภูมิประเทศเป็นหุบเขาคะ ในเมืองก็จะมีสองส่วนพวกสถานที่ราชการสำคัญๆ ก็จะอยู่ด้านบนคะ ส่วนด้านล่างก็จะเป็นบ้านคนร้านอาหาร สำนักงาน ส่วนย่านสถานีรถไฟและที่ๆ เราพักถือเป็นย่านเมืองใหม่คะ จากจุดนั้นเราเดินข้ามสะพานมายังส่วนที่เป็นเมืองเก่าที่มีลักษณะอย่างที่บอก เราเริ่มสำรวจจากด้านบนก่อนคะ เดินมาเรื่อยๆจนถึงพระราชวังที่กัษตริย์ของที่นี่อาศัยอยู่ ซึ่งมีความใกล้ชิดกับประชาชนมาก เพราะมีแค่ถนนเส้นเล็กๆ อยู่ด้านหน้าซึ่งอีกฝั่งเป็นร้านขายของที่ระลึก แล้วก็มีทหารยืนเฝ้าทางเข้าแค่ไม่กี่คน
พระราชวังในเขตเมืองเก่า |
มาถึงจุดนี้ฝนเริ่มโปรยปรายคะ เราทั้งคู่เริ่มหนาวจนทนไม่ไหวคงต้องหาที่หลบ ได้โกโก้ร้อนซักแก้วจะฟินมาก แล้วเราก็หันไปเห็นร้าน chocolate ที่อยู่ด้านหน้าพระราชวัง แพงรึเปล่าไม่รู้แต่ตอนั้นไม่ไหวแล้วคะขอหลบเข้าไปพักก่อน เข้ามาแล้วก็ไม่ผิดหวังคะเพราะช็อคโกแล๊ตร้อนที่นี่ไม่ธรรมดาไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน เข้ามาในร้านทีแรกก็งงคะบอกคนขายว่าจะเอาช็อคโกแล๊ตร้อน เค้าก็บอกว่าเลือกรสที่ชอบเลย แล้วเค้าก็ชี้ไปที่ชั้นวางที่เต็มไปด้วยช็อคโกแล๊ตก้อนๆที่มีช้อนไม้เสียบอยู่ มีรสให้เราเลือกมากมายหลายรส หลังจากเลือกได้แล้วก็หยิบไปให้เค้าคะ เค้าบอกว่าถือไว้แล้วไปนั่งรอที่โต๊ะเลย ซักพักเค้าก็เอานมร้อนๆแก้วใหญ่มาเสริฟ เราแอบสังเกตจากโต๊ะข้างๆ วิธีกินก็ไม่ยากเอาช็อคโกแล๊ตจุ่มลงไปในนมเลยคะ ค้นๆจนมันละลายเราก็ได้ช็อคโกแล๊ตร้อนอันแสนจะเข้มข้น อากาศหนาวๆแบบนี้ไปกินอะไรร้อนๆ นี่มันฟินสุดๆ เต็มพลังจนพร้อมออกไปสู้กับอากาศหนาวอีกรอบเราก็ออกจากร้าน มาถ่ายรูปหน้าร้านเป็นที่ระทึก ว่าร้านนี้ recommend จ้า แล้วเราก็เดินเที่ยวต่อไปยังจุดที่เป็นเมืองเก่าที่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก (อีกแล้ว)
นี่หละคะลักษณะของเมืองที่อย่างที่บอกเหมือนเค้าจะเรียกกันว่าเมืองสูงกับเมืองต่ำ เดี๋ยวหลังจากนี้เราจะเดินลงไปสำรวจด้านล่างกันคะ ตอนเดินลงก็สนุกอยู่นะแต่ไม่อยากจะคิดถึงตอนเดินขึ้นเลย ไม่มีอะไรเปิดให้ดูเท่าไหรคะมันเป็นวันหยุดนี่หน่าก็ได้แต่เดินดูข้างนอกคะ บางช่วงก็มีแดดออกมาให้เราดีใจถ่ายรูปได้แล้วซักพักฝนก็โปรยลงมา เราเดินเที่ยวโซนเมืองเก่าจนเย็นก่อนจะข้านสะพานกลับมาเพื่อเก็บภาพแสงไฟยามค่ำคืน หาอะไรกินก่อนเข้าโรงแรมที่พักคะ วันนี้จบเร็วหน่อยเพราะหมดแรงแล้วคะจำได้ว่านอนไวมาก สามทุ่มได้ ลิฟท์โรงแรมที่ไปพักเล็กมากเลย เข้าได้สองคนพอดิบพอดี เรายังคงพักโรงแรมแบบห้องพักได้สองคนพร้อมอาหารเช้ายังไม่ได้ใช้บริการ hostel คะ
เขตเมืองต่ำ ด้านล่างของเมือง |
เช้าวันถัดมาเรามีเวลาเก็บตกอีกนิดหน่อยก่อนขึ้นรถบัสตอน 11โมง แล้วไปเปลี่ยนรถไฟที่เยอรมันอีกสองต่อเพื่อไปเมืองโคโลนจ์ วิธีอื่นก็คงมีแต่เราเห็นตั๋วราคาไม่แพงเลยจองไปคะ ปรากฎว่ามันต้องมาเปลี่ยนหลายต่อแบบนี้นี่เองมิน่าหละ เราลงมาทานมื้อเช้าแล้วก็ทำแซนวิชไว้เผื่อมื้อกลางวันด้วยคะเอาไว้กินบนรถ ขณะที่เราทานมื้อเช้ากันอยู่ก็มีคุณยายคนนึ่งเดินดูอาหารเช้าแล้วก็ทำท่าไม่พอใจบ่นอะไรพึมพำ เราก็ไม่ได้สนใจอะไรคะ จนน้องที่มาด้วยกันลุกไปหยิบของแล้วเห็นคุณยายคนนั้นทำท่าหาอะไรซักอย่างด้วยความที่มีน้ำใจก็บอกไปว่าเนยอยู่ตรงโน้น เท่านั้นหละคะงานเข้าเบย คุณยายเปิดประเด็นว่าเนี่ยยูรู้มั้ยพลาสติกพวกนี้มันไม่ดีเลยแย่มากๆเอามาใช้ได้ยังไงแบบนี้ (คืออาหารเช้าที่จัดไว้จะมีพวกแยม เนยเป็นแพ๊คเล็กให้เราหยิบคะ แล้วแก้วน้ำที่ใช้ก็เป็นแบบใช้แล้วทิ้งเข้าใจว่าทางโรงแรมเลือกแบบนี้คงประหยัดต้นทุน แต่คุณยายแกออกแนว green peace คะ) คุยไปคุยมายายแกเริ่มเยอะคะ ขนาดน้องแกล้งทำไม่สนใจเล่นtabletแก่ก็หันมาต่อว่าๆ คุยกับฉันอยู่ก็ห้ามเล่นพวกนี่นะเปลื่องไฟยูไม่รู้เหรอ บรา บรา บรา ยูฟังภาษาเยอรมันรู้เรื่องช่ายมั้ย (ตอนนั้นแกพูดฝรั่งเศสสลับกับอังกฤษ น้องที่มาด้วยกันพูดฝรั่งเศสไม่ได้ก็เออ ออไปตามเรื่อง) ด้วยความที่น้องเออออไปเรื่อยอยู่ก็ดันไปพยักหน้า ด้วยความที่ตัวเองฟังยายรู้เรื่องก็หันไปบอกน้องว่าเอ้าไปพยักหน้าทำไมฟังเยอรมันรู้เรื่องเหรอ ยายแกก็หันมาว่าเราทันทีว่าฉันคุยกับเค้าอยู่เธอจะพูดแทรกทำไม ป่อยย แล้วทีนี้แกรัวเยอรมันมาเป็นชุดเลยคะ เอาแล้วซิชักยาวน้องเริ่มทำหน้าไม่ไหวแล้ว เราคงต้องขัดจังหวะแล้วลากน้องออกมา เราก็พยายามขัดจังหวะอย่างสุภาพว่าขอโทษนะเราสายแล้วต้องไปแล้ว ดันโดนด่ากลับมาอีกว่า ยูไม่มีมารยาทเลยฉันคุยกับเข้าอยู่นะอีกแล้วนะ!! เท่านั้นหละคะ เลิกพอกันทีไม่ทนหละลุกแล้วลากน้องออกมาเลยบอกว่าเราต้องไปหละรถจะออกแล้ว แล้วก็ลุกกันออกมาเลย จะว่าใจร้ายก็ใจร้ายเถอะไม่ไหวจะเครีย หนูก็รักสิ่งแวดล้อมไม่แพ้คุณยายหรอกคะแต่ชีวิตจะเครียดไปมั้ยแบบนี้
ยามค่ำคืนกับลิฟท์ตัวเล็กๆ |
หลุดจากคุณยาย green peace มาได้เราก็เดินกลับเข้าไปโซนเมืองเก่าเพื่อไปดูจุดที่ต้องขึ้นรถบัสคะ แล้วเราก็เจอป้าย Quai 4 ก็โอเคสะบายใจเจอและ แต่ก็เอ๊ะไม่ยักกะมีเลขรถคันที่เราจะขึ้น แต่ก็คงอันนี้หละ ก็ไปเดินเล่น shopping ต่อ ช่วงปลายปีเป็นช่วงsaleคะ เราก็แวะดูของร้านโน้น ร้านนี้ไปเรื่อยจนใกล้เวลารถออก เราก็มารอที่ป้ายคะ จนอีกห้านาทีจะถึงเวลารถออกทำไมไม่มีรถมาซักคัน รถมันเลทเหรอ ก็ไม่น่านะยังไงเนี่ย เลยเดินออกไปริมถนนคะ หันไปเห็นป้าย Royal Quai 1-4 200m หา.... ผิดที่!!!!! อีก 200 เมตรแล้วเลี้ยวซ้ายถึงจะเป็นป้ายรถบัส Royal Quai 4 ที่เราต้องมายืนรอคะ สองคนพี่น้องวิ่งกันไม่คิดชีวิตข้ามถนนตัดหน้ารถอีก แต่วิ่งไปก็ไม่ทันแล้วคะเพราะมันเลย 11โมงไปแล้ว ทีนี้ทำยังไงต่อ ตกรถครั้งแรกในชีวิต ในประเทศที่พึ่งเคยมาครั้งแรกด้วยทำยังไงดีๆ ก็ยืนอึ่ง ไว้อาลัยกันซักพัก ก็มาคิดกันคะว่าเราจะไปยังไงต่อ ดูรอบรถที่ติดอยู่บนป้าย อีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะมีรถ แล้วรถไฟที่เราต้องไปต่อหละจะมีรอบต่อกันเลยมั้ยเพราะซื้อตั๋วมาแล้ว หรือจะกลับไปที่สถานีแล้วซื้อตั๋วใหม่นั่งรถไฟยิ่งยาวไปโคโลนจ์เลยซึ่งก็คงไม่ถูกแน่ๆ เราตัดสินใจหา wifi เพื่อเช็คเที่ยวรถบัส และรถไฟรอบถัดไปคะว่าเวลามันรับกันพอดีมั้ยถ้าได้ก็ไปวิธีเดิม ถ้าไม่ได้คงต้องซื้อตั๋วใหม่
มรดกโลกจ้าาา |
แม้จะตกรถก็ยังยิ้มได้ |
เดิมแผนที่เราวางไว้เราก็มีเวลาอยู่โคโลนจ์น้อยอยู่แล้วแถมยังตกรถอีก เหลือเวลาเที่ยวนิดเดียวแล้วคะ ไว้มาตามดูกันเราจะเจออะไรบ้างที่เมืองโคโลนจ์
ประสบการณ์ท่องเที่ยวของแต่ละคนต่างกันแม้เราจะไปในสถานที่เดียวกัน (คงไม่มีใคร มีโอกาสได้นั่งรถบัสที่ทั้งคันมีผู้โดยสารแค่สองคนหรอกมั้ง)
No comments:
Post a Comment